หาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์
โดย หลวงพ่อพุทธทาส
สำหรับในวันนี้
ซึ่งเป็นพระพุทธภาษิตจะได้แสดงด้วยข้อธรรมะข้อหนึ่งซึ่งเป็นพระพุทธภาษิต
ว่า ผู้มีปัญาย่อมแสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน
จงตัั้งจิตอธิฐาน ในการที่ว่าจะประพฤติปฏิบัติให้ตลอดพรรษานี้ โดยหัวข้อที่ว่า
จะแสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์ ท่านทั้งหลายจงฟังดูให้ดี ถ้าฟังดูไม่ดี
ก็จะไม่เห็นด้วยในข้อที่ว่าเราจะแสวงหาความสุขจากสิ่งที่เป็นทุกข์ คนโง่ก็เห็นว่า
เมื่อเป็นทุกข์เสียแล้ว ก็ไม่มีทางแก้ไข หรือความสุขกับความทุกข์นี้
จะเอามาใช้แทนกันไม่ได้ แต่ ผู้มีปัญญา หาเป็นอย่างนั้นไม่ สามารถ
แสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์ นี้มันเป็นหนทางที่ดี หรือดีมากทีเดียว
เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จะช่วยให้มีความทุกข์น้อยเข้า หรือถึงกับไม่มีความทุกข์เลย
แต่ถ้าฟังไม่ถูกมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร และคงจะคิดเสียว่า มันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้
เพราะว่าคนโ.่ทั้งหลาย ย่อมหวังในสิ่งที่หวังไม่ได้ หรือไม่ควรหวัง ยกตัวอย่างเช่นว่า
คราวหนึ่ง ได้พูด ได้เทศน์ ได้พิมพ์โฆษณา เรื่องซึ่งมีหัวข้อว่า
ความเจ็บไข้มาสอนให้เราเป็นคนฉลาด ความเจ็บความไข้เกิดขึ้นแก่เราเพื่อมาสอนเราให้เป็นคนฉลาด
คนที่ไม่เข้าใจก็ล้อว่า เขาไม่ต้องการความเจ็บไข้ เขาต้องการลาภ อย่างยิ่ง
ที่เกิดมาจากความไม่เจ็บไม่ไข้ อ้างพระพุทธภาาิต ขึ้นมาว่า
อโรคยา ปรมาลาภา - ความไม่มีโรค เป็นยอดแห่งลาภ นี้คือคนโง่ ใครบ้างที่ว่า
อยู่ในโลกนี้แล้วจะไม่เจ็บไม่ไข้. นี้ปัญหามันก็มีว่า เมื่อความเจ็บความไข้เกิดขึ้นแล้ว
จะต้องทำอย่างไร จะต้องมาเสียใจ มานั่งบ่น นั่งเพ้อ ว่าเป็นกรรม เป็นเวร เป็นบาป
มาถึงเข้าแล้ว บางคนก็ร้องไห้กระสับกระส่าย อย่างนี้เรียกว่าคนโง่
โง่เพราะไม่รู้จักต้องรับความเจ็บไข้ให้กลายเป้นของที่ไม่ทำอันตราย
จึงได้กล่าวไว้ให้เป็นหลักปฏิบัติว่า ความเจ็บไข้นั้นมาสอนให้เราฉลาด
ถ้าเกิดไม่มีความเจ็บไข้กันเสียเลยอย่างจริงๆ คนก็จะเหลิงและประมาท
ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ทั้งๆ ที่มีความเจ็บไข้อยู่บ่อยๆ ก็ยังเป็นคนประมาท
ถ้าไม่ประมาท มันก็จะได้รับผลประโยชน์จากพระธรรม หรือว่าจากการที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้
แต่ถ้าประมาทเสียแล้ว ก็ไม่ได้รับประโยชน์จากอะไรเลย จะได้รับแต่โทษของความประมาทเท่านั้น
นี้ ความเจ็บไข้มาเตือนให้ไม่ประมาท กระทั่งมาเตือนให้เราฉลาด
กว่าสิ่งเหล่านี้มันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะต้องทำอย่างไร
จึงจะเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ ความทุกข์ยากลำบากทั้งหลายถ้า
เรารู้จักต้อนรับเอามันก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราฉลาดขึ้น ยิ่งขึ้นทุกที
เราดูโดยทั่วๆไป ก็จะเห็นได้ว่า การที่มนุษรู้จักทำอะไรให้ก้าวหน้า
หรือดีขึ้นสวยขึ้น นี้ก็เพราะว่ามันมีอุปสรรคเกิดขึ้นก่อน จึงได้คิดแก้ไข
มันจึงฉลาดในการที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้น แม้แต่จะขุดรูอยู่ เมื่อมันมีความ
ไม่สำเร็จประโยชน์ที่ส่วนไหนก็คิดแก้ไขให้มันดีขึ้น จนรู้จักพักทำเพิง ทำกระท่อม
ทำบ้าน ทำเรือน ทำตึกอยู่ก็ล้วนแต่ประสบความยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อนแล้ว
จึงคิดแก้ไขทั้งนั้น สำหรับความเจ็บไข้ นี้ก็เหมือนกัน มันเหมือนกับ มาเตือนให้รู้ไว้ล่วงหน้า
ว่าจะต้องทำอย่างไร ถ้ามันเกิดเจ็บไข้มากกว่านี้ หรือมันจะต้องตายลงไปจริงๆ
ก็จะสามารถทำจิตใจได้ถูกต้อง ไม่ให้ความทุกข์ครอบงำมากเกินไป
ฉะนั้นเมื่อ
เจ็บไข้ทีไร ก็ต้องรู้จักถือเอาความฉลาดรู้จักพิจารณา และรู้จักสลัดออกไป ด้วยสติปัญญา
เหมือนกับว่าเป็นการ ฝึกหัดจิตใจให้เข้มแข็ง ให้ความทุกข์เพียงเท่านี้ ครอบงำไม่ได้ เรื่อยๆไป
จนกระทั่งความทุกข์ชนิดไหน ก็ครอบงำไม่ได้ เมื่อเราคิดเสียอย่างนี้ ความเจ็บไข้มันก็จะพ่ายแพ้ไป
แม้ว่าความเจ็บไข้นั้นมันจะหนักมาก ถึงกับจะต้องตาย ก็ยังมีทางที่จะคิดได้ว่า สังขารมันเป็นอย่างนี้เอง
ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสังขารทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าฉลาดถึงขนาดนี้แล้ว
ทุกข์ทุกข์หรือความเจ็บไข้ หรือความตายชนิดไหนก็ไม่มาทำให้เดือดร้อนได้หรือถึงกับหัวเราะเยาะได้
นี้เรียกว่าเป็นผู้ฉลาดเต็มที่ในเรื่องเกี่ยวกับความเจ็บไข้
นี้เป็นหลักสำหรับพุทธบริษัทจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการที่จะเอาชนะความทุกข์