เจ็ต ลี พระเอกกังฟูซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ได้หันมาศึกษาธรรมะในพุทธศาสนา กระทั่งสามารถทะลายกำแพงการมีชื่อเสียงเงินทอง ซึ่งเขายึดติดมาเป็นเวลาหลายปีได้สำเร็จ ปัจจุบันนอกจากการแสดงภาพยนตร์แล้ว เขายังหันมาช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมโลก ในเรื่องการศึกษา สุขภาพ สภาพแวดล้อม และความยากจน ด้วยการตั้งมูลนิธิ “China Jet Li One” ขึ้น
• จุดเริ่มต้นสนใจธรรม
เมื่อตอนที่เจ็ต ลีอายุ 8 ปี เขาเริ่มต้นเรียนวูซูหรือกังฟู “ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเรียนอะไร รู้แต่เพียงว่าการได้เรียนในสถาบันวูซู จะทำให้ผมมีข้าวกิน”
ลีได้ลงมือฝึกฝนวูซูอย่างจริงจัง และปฏิญาณตนว่า สักวันหนึ่งจะนำศิลปะการต่อสู้ของจีนออกไปเผยแพร่ทั่วโลก กระทั่งในช่วงอายุ 11-16 ปี ก็ได้รับเหรียญทอง 15 เหรียญในการแข่งขันวูซูแห่งชาติ และได้เป็นตัวแทนไปเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ของจีนทั่วโลก ตามความฝันของตัวเอง
อย่างไรก็ดี ต่อมาเขาค่อยๆตระหนักว่า ในขณะที่กังฟูทำให้ผู้ฝึกมีร่างกายแข็งแรง แต่มันไม่ได้ช่วยทำให้จิตใจเข้มแข็งไปด้วย ไม่ได้ช่วยให้แก้ไขปัญหาต่างๆได้ และแม้ว่าเขาจะได้รับรางวัลสุดยอดนักกังฟูตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในใจเขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เป็นสุดยอดจริงๆ จากนั้นลีก็เริ่มหันมามองตัวเอง โดยการศึกษาไทเก็กและหยินหยางควบคู่ไปด้วย ในที่สุดเขาก็เริ่มค้นพบความสงบภายใน
ในปี 1982 ชื่อเสียงของลี เริ่มโด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วเอเซียและและในแวดวงฮอลลีวูด จากภาพยนตร์เรื่อง Shaolin Temple หรือในชื่อไทยว่า “เสี้ยวลิ้มยี่” ตั้งแต่นั้นมา เขาก็เริ่มมีงานแสดงเข้ามาไม่ขาดสาย พร้อมกับเงินทองที่หลั่งไหลมา
ถึงแม้จะมีทั่งชื่อเสียงและเงินทอง แต่มีบางอย่างคอย รบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา
“ผมก็เหมือนคนส่วนใหญ่ ใน 24 ชม. ผมจะใช้เวลานอน 10 ชม. และ 3 ชม. เป็นเวลากิน คุย อยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่จะใช้เวลา 5 ชม. คิดว่าจะทำยังไงเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น ส่วนเวลาที่เหลือก็จะเป็นเวลาที่มานั่งผิดหวัง”
• เดินหน้าศึกษา เข้าหาครูอาจารย์
ปี 1998 ลีได้ไปศึกษาพุทธศาสนานิกายวัชรยาน กับพระอาจารย์ Chen-Cho Dorje De-Chen Dorje Do-Ngak Lingpa เจ้า อาวาสวัด Mei Chen Palme ในมณฑลชิงไห่ ของจีน ตลอดระยะเวลา 5-6 ปี ที่เขาได้เรียนรู้ธรรมะจากพระอาจารย์ ทำให้เกิดความซาบซึ้งในหลักธรรมคำสอน และได้เข้าร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนา หลายแห่งทั้งในฮ่องกงและไต้หวัน อาทิ การสนทนาธรรมกับพระอาจารย์เช็ง เย็น(มรณภาพเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 09) หัวข้อ “นิรนามกับความไม่รู้” ที่กรุงไทเป เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2003 ท่ามกลางผู้สนใจเข้าฟังกว่า 1,500 คน
ลีกล่าวว่า การมีสติปัญญาช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการมีชื่อเสียงเงินทอง โดย 5 ปีหลังจากที่หันมานับถือศาสนาพุทธ เขารู้สึกว่า ตอนนี้ตนพร้อมที่จะเผชิญกับความล้มเหลวในเรื่องงานและความไม่แน่นอนในชีวิต ได้อย่างมีความสุข
ขณะที่ พระอาจารย์เช็ง เย็น ก็เห็นด้วยกับลี และชี้ให้ เห็นว่า การปฎิบัติตามวิถีพุทธมิได้หมายความว่า เราต้องหลีกเลี่ยงการมีชื่อเสียงเงินทอง แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เราควรเรียนรู้ที่จะนำชื่อเสียงเงินทองมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะไม่ถูกควบคุมหรือได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่า นี้
เจ็ต ลี ได้ให้คำแนะนำแก่เด็กวัยรุ่นที่กำลังมีปัญหาในชีวิตว่า “ปัญหา สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เมื่อเรามีปัญหา เรามักจะโทษคนอื่นและทุกๆอย่าง โดยไม่ดูตัวเอง ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา ก็คือตัวเรานั่นเอง ถ้าเราได้ศึกษาธรรมะ เราจะเกิดปัญญาและเห็นคุณค่าของตัวเราได้ชัดขึ้น เราสามารถเรียนรู้ที่จะมองความต้องการ ทางด้านวัตถุ ชื่อเสียง เงินทองได้หลากหลายแง่มุม”
พระเอกกังฟูชื่อดังสารภาพว่า การมีชื่อเสียงทำให้เขาเครียดอย่างหนักที่จะต้องพยายามครองความเป็นที่หนึ่ง ให้ได้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็รวบรวมสติปัญญาและความเข็ม แข็งที่ได้จากการศึกษาพระธรรม พร้อมที่จะเผชิญกับความสำเร็จและความล้มเหลวด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง
• คิดอำลาชีวิตในวงการแสดง เพื่อมาปฏิบัติธรรม
ความเลื่อมใสในพุทธศาสนาที่เต็มเปี่ยมในหัวใจของพระเอกกังฟูชื่อดัง นั้น ทำให้เขาคิดที่จะวางแผนอำลาชีวิตการเป็นนักแสดง ในช่วงวันเกิดของตัวเอง ปี2004 เพื่อหันมาปฏิบัติธรรมอย่างเต็มตัว
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป “ชาง ไวปิง” ผุ้อำนวยการสร้างหนังทำเงิน “Hero” และเป็นเพื่อนสนิทของลีบอกว่าไม่ทราบข่าวดังกล่าว แต่ยอมรับว่า ลีเป็นชาวพุทธที่เคร่งมาก
“มีอยู่ครั้งหนี่ง ขณะที่เราอยู่บนเครื่องบินเพื่อเดินทางไปสหรัฐ ลีก็นั่งสมาธิ และสวดมนต์นานกว่า 4 ชม. ตั้งแต่ผมเริ่มนอนจนตื่นขึ้นมา” ชางพูด
แต่ในที่สุด ลีก็ไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ เพราะพระอาจารย์ที่วัด Mei Chen Palme บอกเขาว่า “คุณยังต้องทำเป้าหมายในชีวิตของคุณให้บรรลุก่อน”
ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น เขาจึงได้เข้าใจว่า เป้าหมายในชีวิตของเขาก็คือ การใช้ความมีชื่อเสียงของตนช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา และแบ่งปันความสุขจากการเกิดปัญญาเมื่อได้ศึกษาพระธรรม
หลายปีที่ผ่านมา ลีบอกว่า เขาได้เรียนรู้จากพระอาจารย์ว่า มนุษย์สามารถบรรลุถึงความสุขขั้นสูงสุดได้ เพียงแต่ต้องลดความต้องการทางวัตถุให้น้อยลง
• เหตุผลที่มาเป็นชาวพุทธในวัชรยาน และผลแห่งธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ลีได้ตอบคำถามของแฟนคลับทางเวบไซต์ของตัวเอง ถึงสาเหตุที่เขาหันมาศึกษาและปฏิบัติพุทธศาสนาในนิกายวัชรยาน ของทิเบต และสิ่งที่ได้ค้นพบ ว่า
“ใน จักรวาลนี้ ไม่มีอะไรยั่งยืน มีการเริ่มต้น ก็จะมีการดับสูญ เมื่อดับสูญแล้ว ก็จะมีการเกิดขึ้นใหม่ ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ คุณเกิดมา คุณก็ต้องตาย แล้วก็เกิดใหม่อีก และตายอีก เป็นวัฏจักรเรื่อยไป ทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ชาวพุทธเรียกว่า ความไม่จีรัง
ชีวิตประกอบด้วยหลายช่วงเวลาในแต่ละช่วง เราก็มีจุดมุ่งหมายต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น เมื่อจบการศึกษา ก็ถึงเวลาที่ต้องหางานทำ แล้วเริ่มมีความรัก ต่อมาก็แต่งงานสร้างครอบครัว แล้วหันกลับมาดูแลพ่อแม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุด คุณก็ตระหนักดีว่า ทุกสิ่งที่ทำไป ความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง และทรัพย์สมบัติที่คุณสะสมมาชั่วชีวิต เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวคุณ เพราะ เมื่อตายไป ก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลของการกระทำทั้งสิ้น คือเป็นเรื่องของเหตุและผล เมื่อผมได้ศึกษาธรรมะ ผมจึงเข้าใจถึงหลักในจักรวาลนี้
ศาสนาพุทธมีหลายนิกาย เช่น หินยาน มหายาน และวัชรยาน ในแต่ละนิกายก็ยังแยกเป็นลัทธิย่อยๆอีก ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เหมือนนักศึกษาเลือกเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่มีมหาวิทยาลัยใดดีกว่ากัน การที่จะเลือกเรียนที่ใด ก็ขึ้นอยู่กับคณะที่สอน โดยรวมแล้ว นักศึกษาจะรู้เองว่า ที่ใดมีคณะที่เขาต้องการเรียน ศาสนาพุทธแบบทิเบต ช่วยให้ผมเกิดแรงบันดาลใจและเป็นตัวเร่งให้ผมมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตดี ขึ้น
ผม ได้ค้นพบความสงบภายในจิตใจ และวิธีที่ทำให้รู้ก็คือ เมื่อความสงบภายในเกิดขึ้น คุณไม่มีความต้องการ อยากมีอยากเป็นอีก มีแต่ความต้องการให้ คุณไม่รู้สึกยินดียินร้าย นั่นแหละคือ หนทางนำไปสู่ความสงบภายใน
การรู้ตื่นและเบิกบาน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำกัดเฉพาะชาวพุทธเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้ ถ้าคุณรู้ว่า สิ่งใดที่ก่อให้เกิดทุกข์ และคุณรู้วิธีควบคุมมันได้ คุณก็สามารถจัดการทุกสิ่งในชีวิตในแง่บวก การมีศรัทธาในศาสนาเป็นสิ่งที่ช่วยคุณได้ในเรื่องนี้ แต่มิใช่เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะนำคุณไปสู่การรู้ตื่นและเบิกบาน”
• พบสัจธรรมที่มัลดีฟส์
เมื่อปลายปี 2004 ได้เกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ขณะนั้น ตัวเขาและลูกสาวคนเล็ก 2 คน อายุ 4 และ 2 ขวบ ซึ่งอยู่ระหว่างการพักผ่อนที่รีสอร์ตโฟร์ซีซั่น ในหมู่เกาะมัลดีฟส์ เกือบโดนคลื่นยักษ์กวาดหายไปในทะเล
“เสี้ยวหนึ่งของวินาทีนั้น พวกเรากำลังเล่นน้ำอยู่ที่ชาย หาด และโดยไม่ทันตั้งตัว น้ำก็ขึ้นมาถึงระดับคางแล้ว ผมคว้าตัวลูกคนหนึ่งไว้แน่น ขณะที่แขกของโรงแรมหลายคนช่วยลากลูกอีกคนหนึ่งของผมขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย”
เหตุการณ์ครั้งนั้นเหมือนเป็นการเตือนพระเอกหนุ่ม ให้ตื่นรู้ขึ้นอีกครั้ง และทำให้เขาเริ่มต้นทำในสิ่งที่ครุ่นคิดมาตลอดกว่า 10 ปี นั่นคือ การใช้ความรู้และชีวิตที่เหลืออยู่ ทำประโยชน์ให้แก่โลกมนุษย์ และเมื่อเขาหันมานับถือ ศาสนาพุทธ เขาจึงตัดสินใจว่า ถ้าเขาต้องการเพิ่มชั่วโมงแห่งความสุขในชีวิตให้มากขึ้น เขาจะต้องเป็นผู้ให้และช่วยเหลือผู้อื่น
“ไม่ มีอะไรที่จะรับประกันว่า คุณจะมีอายุยืนนานแค่ไหน คุณอาจจะอยู่ไม่ถึง 60 ก็ได้ และเมื่อคุณตาย ความฝันทุกอย่างของคุณก็จะตายพร้อมคุณไปด้วย เมื่อก่อนผมจะคิดถึงแต่เรื่องของการเป็น “เจ็ต ลี” เท่านั้น แต่หลังจากนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า ผมต้องทำอะไรหลายๆอย่างให้สังคม”
• ฮีโร่ในจอ กลายเป็นฮีโร่ตัวจริง
นับแต่นั้น ฮีโร่ขวัญใจชาวกังฟู จึงเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ตามที่ตั้งใจไว้ โดยใช้เวลา 2 ปี ตระเวนไปทั่วอินดีย ยุโรป และอเมริกา เยี่ยมชมหน่วยงานสำคัญๆ อาทิ มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ และองค์กร NGO ต่างๆ เพื่อเรียนรู้การทำงาน
ต่อมาในปี 2007 เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิ “China Jet Li One” ขึ้น โดยเน้นเรื่องการศึกษา สุขภาพ สภาพแวดล้อม และความยากจน โดยชูหลักการว่า “คน 1 คน + เงิน 1 หยวน + ต่อเดือน = 1 ครอบครัวใหญ่” ซึ่ง หมายความว่า ถ้าแต่ละคนบริจาคเงินอย่างน้อย 1 หยวน หรือบริจาคเวลา 1 ชม. ในแต่ละเดือน ก็จะกลายเป็นแหล่งความช่วยเหลือที่ทรงพลังให้แก่ชาวโลกที่ยังขาดแคลน
แบบแผนการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของเขา ถูกนำมาทดสอบ เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ที่สร้างความเสียหายอย่างหนักในมณฑลเสฉวนของจีน เมื่อเดือนพฤษภาคมปี ปี 2008 มีผู้เสียชีวิตราว 70,000 คน และไร้ที่อยู่อาศัยหลายพันคน
ด้วยข้อความของเจ็ต ลี ที่กระจายขอความช่วยเหลือ ส่งผลให้วงล้อของมูลนิธิ “ONE” เริ่มขับเคลื่อน และภายในอาทิตย์เดียว มีผู้บริจาคเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ต และ SMS ให้กับมูลนิธิของเขามากกว่า 260 ล้านบาท
“คุณต้องรู้สึกสบายใจ แม้ว่าจะบริจาคแค่ 1 หยวน และไม่ว่าจะบริจาคน้อยแค่ไหน คุณก็มีสิทธิที่จะตรวจสอบว่ามูลนิธิได้รับเงินบริจาคเท่าไหร่ แล้วเอาเงินไปทำอะไร” เขาอธิบาย
“ลองนึกดู ถ้ามีคนให้นาฬิกาเป็นของขวัญวันเกิดแก่คุณเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทุกครั้งที่มองนาฬิกา คุณก็จะนึกถึงคนให้เสมอ ถ้าคุณเก็บของทุกอย่างไว้ในกล่องที่บ้าน ก็จะไม่มีใครรู้ว่าของเหล่านั้นเป็นของคุณ ดังนั้น ยิ่งคุณให้ออกไปมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งได้รับกลับคืนมามากเท่านั้น”
ฮีโร่ตัวจริงพูดต่ออย่างภาคภูมิใจว่า “และนั่นเป็นเคล็ดลับในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข”
ทุกวันนี้ ลีบอกว่า “ผมสวดมนต์และทำสมาธิทุกวัน ภาวนาขอให้โลกเกิดสันติสุข และมนุษย์ทุกคนเกิดพลังที่ดีงาม”
www.trilakbooks.com โทร.086-461-8505,081-424-0781สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ร้านหนังสือ ไตรลักษณ์ ศูนย์หนังสือพระพุทธศาสนาริมกำแพงวัดญาณเวศกวันบริการหนังสือ ธรรมะและหนังสือเพื่อสุขภาพ และ CD,DVD,MP3,จำหน่ายตู้พระไตรปิฎก,บริการจัดทำหนังสือเป็นธรรมบรรณาการ,หรือหนังสือที่ระลึกเนื่องในโอกาสพิเศษต่างๆและผลิตภัณฑ์ธรรมะที่ระลึก บริการจัดส่งทั่วโลก ตลอด 24 ชั่วโมงwww.trilakbooks.com