วิธีการทำงาน
ให้เป็นการปฏิบัติธรรม
พระธรรมเทศนาโดย
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
ขอให้ทุกคนมองเห็นว่าการทำหน้าที่ของมนุษย์นั่นแหละ
คือความประเสริฐที่สุดของมนุษย์คนโง่เขาเชื่อง่ายทำไมไม่ยอมเชื่ออย่างนี้ง่ายๆบ้าง;
ไปเชื่ออย่างอื่นๆซึ่งให้ประโยชน์น้อยเกินไปขอให้คนคนโง่ที่ไม่มีสติปัญญา
ทั้งหลายมายอมเชื่อสักหน่อยว่าการทำงานนั่นแหละคือการทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างสูงสุด
มีค่าที่สุด ประเสริฐที่สุด; แล้วก็จะได้พอใจ แล้วก็จะได้เป็นสุขอยู่กับการทำงาน,
ไม่ต้องไปทำอบายมุข ความชั่วอะไรต่างๆ ที่มันเหมือนตกนรก.
เราพอใจในหน้าที่ของมนุษย์และเป็นมนุษย์ที่มีเกียรติเพราะได้ทำหน้าที่มนุษย์ที่มีเกียรติที่สุด
คือ มนุษย์ที่ได้ทำหน้าที่ของมนุษย์; นอกนั้นมนุษย์จอมปลอมเกียรติก็จอมปลอม,
ยิ่งเกียรติที่คดโกงฉ้อฉลเอามาด้วยแล้ว ยิ่งจอมปลอม. ฉะนั้น เกียรติที่แท้จริงนั้นเรารู้สึกด้วยจิตใจ
ของเราเองเราพอใจตัวเองเราเคารพนับถือตัวเองในข้อที่เราได้เป็นมนุษย์จริงๆ
เราเป็นมนุษย์เพราะเราได้ทำหน้าที่ของมนุษย์จริงๆ ;
ไม่ใช่ไปพอใจเงินที่ได้มาจากการทำงาน แล้วเอาเงินนั้นไปซื้อหาเหยื่อของกิเลสตัณหา
มาบำรุงบำเรอกิเลสตัณหาแล้วจึงจะเรียกว่าความสุข
แต่เดี๋ยวนี้คนทั้งโลกเขาทำกันอยู่อย่างนี้ทั้งนั้น:เขาทนทำการงานเท่าที่จำเป็นจะ
ต้องทำ พอได้เงินแล้วก็รีบไปซื้อหาเหยื่อของกิเลส จนกว่าเงินจะหมดแล้วก็มาทำงานกันใหม่ ;
ก็คือทำงานให้กิเลสทั้งนั้นไม่ได้ทำงานเพื่อความเป็นมนุษย์เลย ขอให้ไปคิดดูให้ดี
แล้วไปจัดระเบียบกันเสียใหม่ให้มันถูกต้อง ว่าเราเป็นมนุษย์ได้ทำ
อย่างมนุษย์เราก็พอใจเพราะว่าเราจะได้ขึ้นถึงระดับสูงสุดของความเป็นมนุษย์โดยเร็ว
ทีนี้อยากจะแนะนำไปด้วยกันเสียเลยว่า การที่จะทำได้อย่างนี้ คือรู้สึกพอใจในการทำงานได้อย่างนี้,
ต้องอาศัยคุณธรรมอีกสักอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ คือการทำการงานด้วยจิตว่างที่ปราศ
จากความหมายมั่นแห่งตัวกูหรือของกูมีจิตกลางๆว่าเป็นมนุษย์ได้ทำหน้าที่อย่างมนุษย์
ขอทำหน้าที่อย่างมนุษย์ให้จิตมันกลางๆ อย่างนี้ ก็เรียกว่า ทำด้วยจิตว่าง ไม่มีตัวกู
ไม่มีของกูที่จะไปหาเหยื่อของกิเลส; ถ้าทำด้วยจิตว่างอย่างนี้มันทำได้ง่ายเข้า.
การที่จะทำการงานให้รู้สึกเป็นสุขในตัวการงานนั้น ต้องทำด้วยจิตว่าง;
แม้จะถูเรือน ก็ขอให้ถูด้วยจิตว่าง จะรู้สึกเป็นสุขในการถูเรือน
ถ้าถูเรือนด้วยจิตที่มันหมายมั่นเป็นตัวกูของกูแล้ว มันไม่สนุกแน่
บางทีมันจะเห็นเป็นเรื่องเลวทรามไม่อยากทำ เมื่อใครมาใช้เราให้ทำงานที่ตํ่า,
เราก็โกรธเขา, ก็ตวาดเอา อาตมาก็เคยถูกมาแล้ว :
พระเณรที่เป็นลูกศิษย์ลูกหานี่เคยตวาดเอาอาตมา,
เมื่อใช้ให้ทำงานที่เขาเห็นว่ามันตํ่ำทรามเกินไป แต่โดยเนื้อแท้แล้วไม่มีงานไหนที่ตํ่ำทราม,
มันเป็นการงานเสมอกันหมด และต้องทำด้วยสติปัญญากันทั้งหมดแหละ
ถ้ามันถูเรือนก็ไม่เป็น แล้วมันก็ไปเป็นนายใครไม่ได้หรอก;
ดังนั้นงานถูเรือนมันก็ไม่ใช่เเลวทรามตํ่ำช้าอะไรขอให้ทำให้เป็นไปก่อนตามลำดับ.
นี้เรียกว่าจะรู้สึกเป็นสุขในการทำงานต้องทำด้วยจิตว่าง
คือประกอบอยู่ด้วยปัญญา แล้วก็ไม่มีความหมายมั่นแห่งตัวตน
เป็นที่จิตอิสระและว่างจากการกดขี่บีบคั้นของกิเลส;
นี้จะมีความสุขในการทำหน้าที่นี่หัวใจของมันมีอยู่ที่ตรงนี้ว่าìมีความสุขในการทำหน้าที่î
ชั้นหนึ่งก่อน;แล้วมองดูต่อไปอีกก็มีคำว่า
ìเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัวîการงานที่เราทำนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัว;คนที่
มีกิเลสหนาจะมองไม่เห็นเพราะกิเลสมันต้องการแต่จะไม่ทำงานต้องการแต่จะไปสนุกสนานเอร็ดอร่อย,
กิเลสต้องการอย่างนั้น ถ้าจิตมันกำลังว่างจากกิเลสแล้วมันก็ทำงาน
จะเป็นสุขแล้วจะเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่
ในตัว
ถูเรือนด้วยจิตว่างจะเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัวถ้าถูเรือนด้วยจิตวุ่นมันก็เป็นการตกนรกอยู่ในตัว ;
แต่มันก็คงจะเปลี่ยนได้, ตอนหลังๆ มันก็คงจะเปลี่ยนได้
เป็นมีความรู้ถูกต้องเข้ามันก็จะละจากความเบื่อหน่ายเกลียดชังได้,
จะสนุกสนานในการถูเรือนได้ แล้วก็จะเป็นการปฏิบิติธรรมะอยู่ในตัวที่ยกโดยตัวอย่างในการถูเรือนนี้
เพราะมันเป็นเรื่องเล็กเรื่องง่ายเรื่องพอจะมองเห็น แล้วก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว
ที่จริงนั้นต้องการจะพูดว่าการงานทุกอย่างไม่ใช่เฉพาะถูเรือนจะเป็นการทำงานเหงื่อไหล
ไคลย้อยอยู่ตามทุ่งนาหรือว่าทำงานอยู่ในออฟฟิศที่ไม่
เหน็ดเหนื่อยหรือทุกอย่างของการงานนั้นต้องการให้เป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัวขอให้ช่วยฟัง
ให้ดีๆอาตมาพูดว่าการทำงานที่รู้สึกเป็นสุขเพราะทำด้วยจิตว่างนั้นจะเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัว;
เช่นไถนา ดำนาอยู่อย่างสนุกสนานอย่างนี้ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัว
เพราะว่าการจะทำงานอะไรสักอย่างหนึ่งมันต้องมีอะไรหลายๆ อย่างจึงจะทำได้ :
มันพอใจในหน้าที่, มันเฉลียวฉลาดในการที่จะทำ มันมีความสุขุมรอบคอบที่จะทำ,
มันมีอิทธิบาทในการที่จะทำแม้ว่ากำลังทำนาอยู่กลางนา กลางทุ่งนา,
ถ้ามองให้ละเอียดแล้วมันจะมี โพชฌงค์ ๗ ก็ยังได้ อยู่ในการทำนาอยู่กลางทุ่งนา
เรื่องนี้เคยอธิบายไว้อย่างละเอียดในการบรรยายครั้งก่อนๆ แล้ว ; ที่นั่นก็อธิบายละเอียดมาก
เดี๋ยวนี้จะชี้ให้เห็นแต่หัวข้อ ว่าแม้แต่การทำนาต้องประกอบด้วย
หลักธรรมแม้ที่เป็นชั้นสูงสุดในขั้นที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน :
เขามีสติในการทำนา, เขามีธัมมวิจัยในการทำนา
คือเลือกเฟ้นการงานการกระทำสิ่งที่จะต้องกระทำก็เลือกเฟ้น,
เขามีวิริยะ ในาการทำนา, และเขามีปิติพอใจอยู่ในการอาบเหงื่อต่างนํ้าเขามีปิติอยู่ -
มีความพอใจยินดีอยู่ในการกระทำ, มีปัสสัทธิ คือ ความสงบระงับแห่งจิตแน่วอยู่
แต่ในสิ่งนั้นจิตไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย,แล้วเขาก็มีสมาธิในระดับใดระดับหนึ่งอยู่ในการ
ทำนา แม้แต่จะดำนาเอาต้นกล้าจิ้มลงไปในดิน
มันก็มีสมาธิชนิดหนึ่ง, แล้วก็มี อุเบกขา คือทำได้เรื่อยไปๆ อย่างไม่รู้เบื่อหน่าย ทำเหมือน
กันซํ้าๆซากๆกันอย่างดำนานี้จะต้องดำต้นกล้ากี่พันต้นกี่หมื่นต้นมันก็เสมํ่าเสมอเป็นลักษณะของอุเบกขา
นี่ทำนาแท้ๆ ดำนาอยู่แท้ๆยังมีคุณธรรมสำหรับบรรลุมรรคผลนิพพาน คือโพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการนี้ยังได้;
แล้วทำไมการงานที่ดีกว่านั้น ที่สูงกว่านั้น ที่มีสติปัญญากว่านั้นจะไม่ได้เล่า อาตมาจะยืนยันอย่างนี้อยู่เสมอไป
ว่าถ้าเขาทำการงานอยู่ด้วยความพอใจ เพราะสำนึกในหน้าที่ของมนุษย์ทำราชการก็ดี
ทำอะไรก็ดีถ้างานนั้นยิ่งละเอียดยึ่งประณีตเท่าไร เขาก็ยิ่งมีธรรมะมากขึ้นเท่านั้น,
มากทั้งโดยปริมาณ คือจำนวน และมากทั้งโดยคุณภาพ คุณค่าหรือลักษณะ
ที่ว่าìมันเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัวî นี่ มันเป็นของซ่อนเร้นอยู่, ดูไม่ดี แทบจะดูไม่เห็น ;
มันเป็นอัตโนมัติและซ่อนเร้นอยู่
คนโง่ก็ดูไม่เห็นอีกตามเคย, แต่มันก็มี ยิ่งคนที่ไม่อยากจะเชื่อแล้ว
ก็ยิ่งจะมองไม่เห็น ถ้าว่าจะตั้งสติกำหนดพิจารณาดูให้ดีก็จะพบจะเห็น;
จะรู้สึกด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เพียงแต่เห็นด้วยตา
จะพอใจจะอิ่มใจ จะไม่มีความทุกข์
ถ้าหากว่าจะสรุปการงานทุกชนิดทุกประเภท เอามาสำหรับพูดในเรื่องนี้นะ,
ก็จะสรุปไว้อย่างกว้างขวางว่า การทำงานอยู่ด้วยจิตว่าง เป็นสุขอยู่ในการงานนี้ มันเป็นการปฏิบัติธรรม
คือมันมีความรู้สึกรู้หน้าที่ของมนุษย์และมันพอใจ, แล้วมันรู้หน้าที่ แล้วมันไม่รู้เฉยๆ มันรับผิดชอบในการที่จะทำหน้าที่
นี่เรารู้ว่าหน้าที่ของมนุษย์เป็นอย่างไร แล้วเรายังรับผิดชอบที่จะทำหน้าที่นั้นๆ แล้วเราก็ทำ
ทีนี้ทำการงานง่วนอยู่อย่างนั้นแหละ คุณจะเอาธรรมะพวกไหนล่ะ : อาตมาจะบอกให้เห็นว่า
ถ้าว่าจะเอาศีล สมาธิ ปัญญา มันก็มีอยู่ครบแหละ; แม้ว่าจะเป็นระดับอ่อนระดับตํ่ำลงมา,
แต่มันมีศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในการงานนั้น
โดยหลักทั่วไป:การบังคับตัวเองให้ทำอะไรอยู่ได้นี่ เขาก็เรียกว่า ศีล แล้ว;
ฉะนั้นการบังคับตนให้ทำงานได้อย่างสมํ่าเสมอ
อันนี้มันเป็นศีลเพราะการบังคับตนทีนี้เราจะเอาเปรียบกันสักหน่อยก็ได้ว่าเมื่อ
ทำการงานอยู่นั้นน่ะมันไปฆ่าใครไม่ได้ ขโมยใครไม่ได้
ล่วงละเมิดของรักใครไม่ได้พูดเท็จไม่ได้อะไร,
นี่มันก็เป็นมีศีลอยู่แล้วแต่มันมีศีลที่แท้จริงที่เป็นหัวใจของศีลก็คือว่าเราสามารถบังคับอินทรีย์ บังคับความรู้สึกต่างๆ
ไว้ได้ในขอบเขตในระเบียบ; อย่างนี้เรียกว่า ศีล แม้จะดำนาอยู่ มันก็มีศีลในลักษณะนี้ในความหมายนี้ได้
ทีนี้ สมาธิ คือใจจดจ่อแน่วแน่อยู่ในการกระทำนั้น มันก็มีเองแหละ :
ถ้าเราตั้งใจจะทำงานให้มากเท่าไร สมาธิจะมีเองโดยอัตโนมัติมากขึ้นเท่านั้น;
ดังนั้นขอให้ปักใจที่จะทำงานให้มันมากสมาธิมันก็จะมีมากเหมือนกัน
ทีนี้ปัญญานี้มันไม่ต้องสงสัย;มันมีความฉลาดรอบรู้เพิ่มขึ้นในการทำงานนั้น
และมันมีมาตั้งแต่แรกโน้น; ถ้าไม่มีปัญญาแล้วมันไม่อยากทำงานอย่างที่ว่านี้,
หรือถ้าไม่มีปัญญาแล้วมันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เดี๋ยวนี้มันมีความรู้ถูกต้องว่าควรทำงานเพื่อความเป็นมนุษย์ถูกต้อง
แล้วจะทำอย่างไรมันก็รู้ แล้วก็มันทำมันก็ยิ่งรู้ ปัญญามันก็ยิ่งงอกงามแม้ในการทำงานชั้นตํ่าที่สุดเรื่องถูเรือน
ขออย่าให้ขี้เกียจถูเถอะ; ถูมากเข้าๆ มันยิ่งฉลาด ถูได้ดีกว่า ถูได้เร็วกว่า,
อะไรมันก็ดีกว่าทั้งนั้นนี้มันก็เป็นเรื่องของปัญญาที่มันจะพอกพูนขึ้นมา การทำการงานก็มี
ศีล สมาธิ ปัญญาได้
ทีนี้ เราจะมีอิทธิบาท ๔ กันบ้าง, เอ้า,
มันก็ยิ่งเห็นเลย - ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ;
อิทธิบาท๔ สำหรับไปนิพพานโน่น เราก็มามีในการทำการงาน : พอใจในการทำงาน, พากเพียร
ในการทำงาน, เอาใจใส่ ในการทำการงาน, สอดส่องใคร่ครวญแก้ไขปรับปรุงให้มันดีขึ้น ในการงาน;
นี้มันเป็นอิทธิบาททั้ง ๔, ในการทำนาก็ได้ ในการถูเรือนก็ได้ แม้จะไปเล็งถึงว่า อินทรีย์ ๕ พละ ๕
ซึ่งเป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งในการปฏิบัตธรรมไปนิพพาน,มันก็มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
เรียกว่า อินทรีย์ เพราะมันสำคัญมาก, เรียกว่า พละ เพราะพละมันมีกำลังมาก ถ้าคนทำงาน ดี
จะมีอินทรีย์หรือมีพละนี้ทั้งนั้นแหละ : มันมี ศรัทธา ในการงาน ในผลการงาน, มีปัญญาในการทำ ยกมา
ให้หมดทั้งพระไตรปิฎกเลย; จะสามารถจะชี้
ให้เห็มันมีอยู่ในการทำงานไม่อย่างใดก็
อย่างหนึ่ง ไม่มากก็น้อย.
นี้จะพูดถึงหมวดธรรมที่สำคัญที่สุดคือ อริยมรรคมีองค์๘
มัชฌิมาปฏิปทานี้ ถ้าใครทำการงานได้ดี มีผลดีจะมีความเป็นมัชฌิมาปฏิปทาอยู่ในนั้น;
เขาเรียกว่ามันพอดี มันไม่มาก มันไม่น้อยมันไม่ขาด
มันไม่เกิน มันไม่ทุกอย่างแหละเป็นมัชฌิมาหรือจะแยกข้อก็ว่า
มันก็มี สัมมาทิฏฐิ มันจึงทำงาน, มัน มีสัมมาสังกัปปะ ที่ตั้งไว้ถูกต้องแล้ว สัมมาวาจา
มันจะหุบปากอยู่ก็เหมือนกับมันพูดอยู่แล้วอย่างถูกต้อง,
สัมมากัมมันโต มันเป็นการงานที่ถูกต้อง, อาชีโว
วายาโม มันก็ถูกต้อง, สมาธิมันอธิบายแล้ว; สัมมาสติ
ยิ่งต้องการอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าสิ่งใด
เลยมีอริยมรรคมีองค์๘ในลักษณะหนึ่งในระดับหนึ่งในความหมายหนึ่ง
อยู่ในตัวการทำการงานด้วยเหมือนกัน
นี่เมื่อทำงานในความหมายนี้นะ ; ทำงานชนิดที่
ทำด้วยความรู้สึกในหน้าที่ของมนุษย์
ประกอบอยู่ด้วยธรรมมีความสุขในตัว
การงาน, แล้วการงานนั้นจะมีการปฏิบัติธรรมทุกอย่างอยู่ในการงานนั้น
คิดดูสิ ยิงปืนออกไปนัดเดียวได้นกกี่ร้อยตัว กี่พันตัวกี่หมื่นตัวกี่แสนตัว;
ทำไมจะไม่เรียกว่าหัวใจ แล้วทำไมจะไม่เรียกว่าหัวใจของธรรมสัจจะเล่า
เพราะมันเป็นหัวใจของการปฏิบัติ ฉะนั้นขอให้โง่แล้วทำก็แล้วกัน,
อย่ามามัวโต้แย้งกันอยู่เลย; ให้โง่ทำ
คือว่าการงานเป็นการปฏิบัติธรรม แล้วทำอย่างพอใจในการงาน อย่างที่ว่ามาแล้วข้างต้น
อย่าไปสร้างหวังสร้างวิมานในอากาศเอาเงินไป
สนุกสนานเอร็ดอร่อยที่ไหนเลย ให้พอใจอยู่ในการงาน
เอาการงานนั้นแหละเป็นสวรรค์วิมานอยู่ในการงาน ไม่ใช่ต่อตายแล้ว;
เมื่อทำงานอยู่มันจะมีสวรรค์วิมานสำหรับคนจำพวกนี้
ในเมื่อใครๆ ก็ต้องการความสุข เดี๋ยวนี้มันก็ได้ความสุขแล้ว แล้วสะอาด
บริสุทธิ์เสียด้วย มันเป็นความสุขที่เรียกว่า สูงสุดประกอบอยู่ด้วย สันโดษ
เป็นความสุขอย่างธรรมะแท้ แม้ว่าทำงานอยู่อย่างชาวบ้านอย่างชาวโลก
แต่ความสุขนั้นกลับเป็นธรรมะแท้ ไอ้พวกหลง
กามารมณ์นั่นแหละ มันหาความสุขปลอม แล้วมันบูชาความสุขปลอม สุก ก สะกด เผาให้สุกจี่
ให้สุกต้มให้สุก; นั้นมันสุกปลอม ถ้าว่าเป็นความสุขอย่างธรรมะแท้แล้วมันก็ ขสะกด แล้วมันก็สุขเย็น; ฉะนั้นจงหาในการทำการงานเถอะ
ฉะนั้น ใครทำการงานได้เงินเดือนก็ช่างหัวมันเถอะ,
เงินเดือนนั้นมันก็ไม่ดีเท่าความสุขที่ได้รับอยู่ในขณะทำงาน; แล้วเงินเดือนน่ะระวังให้ดีมันจะลากคอไปลงนรก
ไอ้พวกที่ได้เงินเดือนทั้งหลาย ช่วยสังวรในข้อนี้ไว้บ้าง
ว่าเงินเดือนมันจะลากคอคุณลงไปในนรกแต่ถ้าว่าความสุขจากการทำงานแท้จริงนี้มันไม่ไปไหน,
มันเป็นสุขอยู่แล้ว เป็นสุขอยู่ที่นี่; ดังนั้น เราต้องรู้จักสิ่งนี้ว่าทำการงานที่มีความสุขอยู่ในการงาน
แล้วก็ยังเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว เงินเดือนเลยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นจะต้องมาซื้อข้าวสารกินบ้างก็ได้,
แล้วมันก็เหลือเยอะแหละ เงินเดือนจะเหลือใช้แหละ, ถ้าทำงานอย่างนี้ :
ไม่ไปเป็นบ่าวของกิเลส ไม่ไปเอาส่วนเกินเพื่อเป็นบ่าวของกิเลส เงินเดือนมันก็เหลือ
ใช้, เวลามันก็เหลือสำหรับหาความสุข
ดังนั้น เราจึงพูดว่า สำหรับทุกคนที่ควรจะทำได้ : เป็นสุขในการทำการงาน; แล้วมัน
เป็นการปฏิบัติธรรมะ ใกล้พระนิพพาน ๆ ๆ
ยิ่งขึ้นทุกทีๆ อยู่ในตัวมันเอง ìอยู่ในตัวมันเองî
นี่หมายความว่าเราไม่ต้องพยายามก็ได้ในส่วนนี้
:ไม่ต้องพยายามให้ใกล้นิพพานมันใกล้เอง;
ขอแต่ให้พยายามทำการงานอย่างนี้เท่านั้นๆ ไม่ต้องไปพะว้าพะวังว่ามันจะไม่ได้ มันได้แน่ ๆ
ขอให้ตั้งหน้าทำงานอย่างชนิดนี้อย่างเดียวเท่านั้น ใครก็ตาม โง่ก็ตาม ฉลาดก็ตาม แล้วไอ้โง่
จะยิ่งได้เปรียบเพราะมันไม่มีเหตุผลที่จะมาเถียงมาแย้ง มาอะไรอีกแล้ว
มันก้มหน้าตะพึด, ทำกันง่ายๆ มีความสุขกันง่ายๆด้วยความเชื่อ
ก็ดีว่า,ดีกว่าฉลาดฉลาดจนเฉโก จนเถียงข้าง ๆ
คู ๆ จนไม่ได้ทำกัน จนไม่ได้ประพฤติปฏิบัติกันอย่างนี้
ขอให้เอาไปคิดดู ว่าที่ได้พูดมาทั้งหมดนี้ อาตมาพูดเพื่อทุกคน,
เป็นธรรมสัจจะสำหรับทุกคน ทั้งคนโง่และทั้งคนฉลาด สามารถปฏิบัติได้เสมอกัน
เขาก็จะแย้งว่าไม่อาจจะทำความรู้สึกที่เป็นสุขในการทำงาน ; ก็บอกว่าไปลองดูก่อนเถอะ
มันก็เคยมามากแล้ว เราทำงานบางครั้งบางคราวมันสนุกเหลือประมาณ
นั้นบังเอิญมันไปถูกร่องถูกรอยอันนี้เข้า;
แล้วเดี๋ยวเราได้ศึกษาแล้ว ได้ฟังพอสมควรแล้ว
ว่ามนุษย์นี้เป็นกันทำไม เป็นกันอย่างไร โดยวิธีใด
เป็นอย่างไรจึงจะถึงที่สุดของความเป็น
มษย์ มันก็ยิ่งรู้ว่ายิ่งทำความดี ความงาม ความถูก
ต้องนี้เท่าไร มันก็ยิ่งมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น
แล้วนี่ดีที่สุดแล้ว ง่ายที่สุดแล้ว : บังคับจิตให้รู้สึกเป็นสุขในการทำงาน แม้ว่ากลางแดด
กลางฝนก็ให้มันยิ้มอยู่ข้างในอุปสรรคและความยากลำบากของการทำหน้าที่การงาน
แล้วยังขยายความออกไป ไกลออกไปถึงว่า แม้การต่อ
สู้กับอุปสรรคความยากลำบากก็เรียกว่าการทำการงาน ต้องต่อสู้กับอุปสรรคศัตรูที่เขาแกล้ง
เราก็เป็นความกัน แล้วบางทีเขาก็ชนะ เราก็แพ้; อย่างนี้ก็เป็นการทำการงาน แล้วเราก็จะได้ยิ้ม
จะได้พอใจในการที่ได้แพ้ซึ่งมันมาสอนให้เราฉลาดเราไม่มาเสียใจเป็นทุกข์อยู่ให้ป่วยการ;
เราจะศึกษาให้รู้ให้เข้าใจยิ่งๆ ขึ้นไป จนเราไม่แพ้อีก
ธรรมะมันสอนให้มองเห็นว่า ไอ้แพ้หรือชนะนี่มันเรื่องหลอก ๆ
ทั้งนั้น; กระทั่งว่าความสุขหรือความทุกข์มันก็เรื่องหลอกๆทั้งนั้น
สู้ไม่เป็นอะไรเลยไม่ได้ คือไม่เป็นสุข หรือไม่เป็นทุกข์
ไม่เป็นผู้แพ้ ไม่เป็นผู้ชนะนั่นแหละดี ฉะนั้นจึงไม่เป็นทุกข์ดอก,
จะถูกฆ่าให้ตายก็ไม่เป็นทุกข์สมมติว่าเราไม่ได้
ทำผิดอะไรเลยมันมีเรื่องที่ตกลงบนเราถูกหาว่าทำผิดเขาจะเอาไปประหารชีวิต
ก็หัวเราะเยาะดีกว่านี่ให้ถือว่าอุปสรรคทั้งหลายต้องต่อสู้และการต่อสู้นั้นก็คือการงานเหมือนกัน;ฉะนั้นต้องยิ้มต้องเป็น
สุขในการได้ทำการงาน
หรือจะต้องต่อสู้กับความเกิด ความแก่
ความเจ็บความตายนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการงานนะ:เราต้องดิ้นรนต่อสู้ความเกิดความแก่
ความเจ็บความตายนี้ก็เป็นการงานของเรา เป็นหน้าที่ของเราถ้าเราโง่ที่สุดเราก็ยิ้มแห้งๆ
ไปก็แล้วกัน;แต่เดี๋ยวเราก็ได้รับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามากพอที่จะพิจารณาความเกิด
ความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ว่าเป็นอย่างไร, เราก็ยิ้มได้จริง ไม่ต้องยิ้มแห้งๆ ยิ้มอย่างสดชื่น
ยิ้มอย่างสดใสยิ้มอย่างลึกซึ้งทางภายใน, หัวเราะเยาะความเปลี่ยนแปลงของสังขารที่เป็นไป
ตามธรรมชาติ นี้เราจะเรียกว่า ทำการงานด้วยเหมือนกัน;
เพราะพอเรามีอายุมากขึ้นเราก็จะต้องต่อสู้กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย
อาตมาก็กำลังทำอยู่อย่างนี้เดี๋ยวนั่นมาเดี๋ยวนี่มา,
มันก็ต้องต่อสู้และเรียกว่าการงานและก็หัวเราะเยาะทุกที, ทำให้ความ
เจ็บปวดมันลดลงไป, ก็ทำให้มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น, ให้มีการปฏิบัติธรรมะมากขึ้นในการต่อสู้อย่างนี้
ฉะนั้น จึงมาบอกกล่าว, บอกกล่าวแจกจ่ายให้ได้ยินได้ฟังทั่วกันว่า
การทำหน้าที่ แล้วรู้สึกเป็นสุขในการกระทำ,
สนุกก็ได้ เป็นสุขก็ได้ในความหมายที่เป็นธรรม ไม่ใช่กิเลส,
สนุกในการทำการงานก็ได้ เป็นสุขในการทำการงานก็ได้
แล้วมันจะเป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อใกล้ต่อพระนิพพานอยู่ในตัวมันเอง;
โดยคนโง่นั้นไม่รู้ ขอให้โง่มาก ๆ ในข้อนี้เถอะ อย่าไปคิดอย่าไปวิจารณ์เลย
ยิ่งโง่มากยิ่งดีเพราะไม่ต้องไปลังเลสงสัยว่าได้หรือไม่ได้ แน่หรือไม่แน่ ทำการงานด้วยความพอใจสนุก
สนาน เป็นสุขสันโดษ ดัวยจิตที่มันว่างจากตัวกูของกู, แล้วมันจะขยับเลื่อนไปหาพระนิพพานทีละนิด ๆ จนถึงเข้าสักวันหนึ่ง
นี่คือหัวใจของธรรมสัจจะสำหรับทุกคน ทั้งคนโง่และฉลาด
มีบทสรุปว่าเป็นสุขในการทำงาน แล้วก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัวมันเองแล้ว
เรียกว่า ìหัวใจของธรรมสัจจะสำหรับทุกคนî; เป็นการบรรยายธรรมสัจปกิณกะในวันนี้,
มีใจความสั้น ๆ อย่างนี้ ถ้าเชื่ออาตมาแล้วก็ขอให้ท่องไว้ให้ติดปากว่า
ทำงานด้วยความรู้สึกที่เป็นสุขสนุกและเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัว;
จะแก้ปัญหาได้หมดที่ว่าสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ก็ดี
ความยึดมั่นในเบญจขันธ์เป็นทุกข์ก็ดีอะไรเป็นทุกข์ก็ดี มันจะชนะหมดได้ด้วยการทำอย่างนี้
หัวเราะเรื่อย ใกล้พระนิพพานเข้าไปเรื่อย สัจจธรรมที่ว่าสังขารเป็นทุกข์
อุปาทานขันธ์เป็นทุกข์เราก็มาแก้ด้วยธรรมสัจจะที่ว่า ìเราเป็นสุขในการทำการงานซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมะ
อยู่ในตัวîขอให้สัจจธรรมและธรรมสัจจะคู่นี้มันปรากฎแจ่มแจ้งในจิตใจของท่านทั้งหลาย,
ก็จะไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัทที่จะมีความก้าวหน้ายิ่ง ๆขึ้นไปทุกปี
การบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้วอาตมาขอยุติการบรรยาย:
ให้เป็นโอกาสแก่พระคุณเจ้าทั้งหลายท่านจะได้สวดพระบาลีที่ส่งเสริมกำลังใจ
ในการปฏิบัติธรรมะนี้ต่อไป.