พระไตรปิฎกที่เป็นลายลักษณ์อักษรเล่า?
ช่วงที่ ๒ ระยะที่รักษาพุทธพจน์และเรื่องเกี่ยวข้องในพระไตรปิฎกทั้งหมดไว้เป็น
ลายลักษณ์อักษร หรือการรักษาไว้กับวัตถุภายนอก เริ่มเมื่อประมาณ พ.ศ. ๔๖๐
ที่มีการสังคายนาครั้งที่ ๔ ณ อาโลกเลนสถาน ในลังกาทวีป
สังคายนาครั้งที่ ๔ นี้ เกิดจากเหไตุที่ปรารถว่า เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองสภาพแวด
ล้อมผันแปรไป เกิดมีภัยที่กระทบต่อการทำหน้าที่สืบต่อทรงจำพุทธพจน์ และคน
ต่อไปภายหน้าจะเสื่อมถอยสติสมาธิปัญญา เช่นมีศรัทธาและฉันทะอ่อนลงไป จะ
ไม่สามารถรักษาพุทธพจน์ไว้ด้วยมุขปาฐะ จึงตกลงกันว่าถึงเวลาที่ต้องจารึกพระ
ไตรปิฎกลงในใบลาน
ในแง่หนึ่ง การจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรนี้ ดูเหมือนจะมีความแน่นอนและมั่นคง
ถาวรดังต้องการ คือจะคงอยู่อย่างนั้นๆ จนกว่าวัสดุจะผุสลาย หรือสูญหาย หรือถูก
ทำลายไป แต่วิธีรักษาแบบนี้ มีจุดอ่อนที่ทำให้บุคคลเกิดความประมาท ด้วยวางใจ
ว่ามีพระไตรปิฎกอยู่ในใบลานหรือเล่มหนังสือแล้ว ความเอาใจใส่ที่จะสาธยาย ทวน
ทาน หรือแม้แต่เล่าเรียน ก็ย่อหย่อนลงไป หรือถึงกับกลายเป็นความละเลย
อีกประการหนึ่ง การจารึกในสมัยโบราณ ต้องอาสัยการคัดลอกโดยบุคคล ทำให้ตัว
อักษรเสียหายเป็นตัวๆ หรือแม้แต่หายไปเป็นบรรทัด ยิ่งบางทีผู้มีหน้าที่รักษาไม่ถนัด
ในงานจารเอง ต้องให้ช่างมาจารให้ บางทีผู้จารไม่รู้ไม่ชำนาญภาษาบาลีและพุทธ
พจน์ หรือแม้กระทั่งไม่รู้ไม่เข้าใจเลย ก็ยิ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาด อย่างที่ในสังคมไทย
โบราณรู้กันดีในเรื่องการคัดลอกตำรายาดังคำที่พูดกันมาว่า "ลอกสามทีกินตาย"
ด้วยเหตุนี้ การรักษาพระไตรปิฎกในยุคฝากไว้กับวัตถุนอกตัวบุคคลนี้จึงต้องใช้วิธีทำ
ฉบับใหญ่ของส่วนรวมที่จารึกและทบทวนตรวจทานกันอย่างดีแล้ว รักษาไว้ที่ศูนย์
กลางแห่งหนึ่ง เป็นหลักของหมู่คณะของสงฆ์ทั้งหมดหรือของประเทศชาติ
ประจวบว่า ในยุคที่รักษาพุทธพจน์เป็นลายลักษณ์อักษรนี้ พระพุทธศาสนาได้เจริญ
แพร่หลายไปเป็นศาสนาแห่งชาติของหลายประเทศแล้ว แต่ละประเทศจึงมีการสร้าง
พระไตรปิฎกที่เป็นหลังของประเทศของตนๆ ไว้ และดูแลสืบทอดกันมาให้มั่นใจว่ายัง
คงอยู่บริสุทธิ์บริบูรณ์ดังเช่นในประเทศไทย ที่มีการสังคายนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช
(หรือติลกราช) แห่งอาณาจักรล้านนา และการสังคายนาในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์ปัจจุบัน เป็นต้น
ในเวลาที่เรามีการตรวจชำระพระไตรปิฎกครั้งที่หนึ่ง เราก็เอาของทุกประเทศมาสอบ
ทานเทียบเคียงกัน เพื่อดูว่ามีข้อความถ้อยคำหรืออักษรตัวไหนผิดเพี้ยนกันไหม อย่าง
ชื่อ พระอัญญาตโกณฑัญญะ มีการผิดเพี้ยนกันไปนิดหน่อย ฉบับของเราเป็น อัญญา
โกณฑัญญะ ฉบับอักษรโรมันของสมาคมบาลีปกรณ์ (Pali Text Society) เป็น อัญ
ญาตโกณฑัญญะ เป็นต้น ความแตกต่างแม้แต่นิดเดียว เราก็บันทึกไว้ให้รู้ในเชิงอรรถ
แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านล่วงเกินไปพันปี เมื่อนำพระไตรปิฎกที่ประเทศพุทธศาสนาแต่
ละประเทศรักษาไว้มาเทียบกัน ก็พูดได้โดยรวมว่า เหมือนกันลงกัน แม้จะมีตัวอักษร
ที่ผิดแผกแตกต่างกันบ้าง เช่น จ เป็น ว บ้าง เมื่อเทียบโดยปริมาณทั้งหมดแล้ว ก็นับ
ว่าเล็กน้อยยิ่ง แสดงถึงความถูกต้อง แม่นยำในการรักษาที่ทำกันมาด้วยความตั้งใจและ
ตระหนักถึงความสำคัญอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาเถรวาทจึงมีความภูมิใจโดยชอบธรรมว่า เรารักษาพระพุทธ
ศาสนาไว้ได้เป็นแบบเดิมแท้ ดังเป็นที่ยอมรับกันเป็นสากลคือนักปราชญ์ วงวิชาการทั่ว
โลก ไม่ว่าจะเป็นมหายาน หรืเถรวาท หรือ วัชรยาน ว่าพระสูตรต่างๆ ของพระพุทธศาสนา
แบบมหายานที่เป็นอาจารยวาท เป็นของที่แต่งขึ้นภายหลัง ไม่รักษาคำสอนเดิมแท้ๆ ไว้
คัมภีร์ส่วนมากก็สาบสูญไป เขาก็เลยมายอมรับกันว่า คำสอนเดิมแท้ของพระพุทธเจ้าที่จะ
หาได้ครบสมบูรณ์ที่สุด ก็ต้องมาดูในพระไตรปิฎกบาลีของพระพุทธศาสนาเถรวาทของเรา
นี้
การสังคายนานั้นต้องให้ผู้รู้ว่าเป็นการรักษาคำสอนเดิมเอาไว้ให้แม่นยำที่สุด ไม่ใช่ว่าพระ
ภิกษุที่สังคายนามีสิทธฺ์เอาความคิดเห็นของคนใส่ลงไป
บางคนเข้าใจผิดว่า ในสังคายนานี้ ผู้ที่เข้าร่วมสังคายนา จะไปปรับไปแต่งทำอะไรกับพระ
ไตรปิฎก ดีไม่ดีอาจจะถึงกับเข้าใจว่ามาแต่งพระไตรปิฎกกันใหม่ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คาด
เคลื่อนไปไกล แสดงว่าไม่รู้จักการสังคายนา และไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่า ในประไตรปิฎกไม่มีเฉพาะคำตรัสของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
คำของพระสาวกก็มี เช่นคำของพระสารีบุตรที่แสดงวิธีสังคายนาเป็นตัวอย่างไว้นั้น
ก็เป็นพระสูตรอยู่ในพระไตรปิฏก ชื่อ สังคีติสูตร แต่ธรรมที่พระสารีบุตรนำมาสังคาย
นาไว้ในสังคีติสูตรนั้น ก็คือคำตรัสของพระพุทธเจ้าหรือธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรง
แสดงไว้นั่นเอง นอกจากนั้นก็มีคำสนทนากับผู้อื่น ซึ่งมีคำของผู้อื่นรวมอยู่ด้วยในนั้น
หลักคำสอนอะไรเก่าๆ ก่อนพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับ ทรงนำมาเล่าให้นับ
ถือปฏิบัติกันต่อไป ก็มาอยู่ในพระไตรปิฎกด้วย อย่างเรื่องชาดก เฉพาะส่วนที่เป็นตัว
คำสอนแท้ๆ
คัมภีร์ที่นิพนธ์แม้หลังพุทธกาลก็มีบ้าง อย่างในคราวสังคายนาครั้งที่ ๓ สมัยพระเจ้า
อโศกมหาราช พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ประธานสังคายนาเรียบเรียงคำภีร์ขึ้นมาเล่ม
หนึ่ง (ชื่อว่า กถาวัตถุ) เพื่อชำระคำสั่งสอนที่ผิดพลาดของพระบางพวกในสมัยนั้น
แต่การวินิจฉัยนั้นก็เป็นเพียงว่า ท่านยกเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่โน่นที่นี่ ในเรื่อง
เดียวกันนั้น มารวมกันไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เพื่อแสดงให้เห็นว่า เรื่องนั้นพระพุทธเจ้า
ตรัสว่าอย่างไรอย่างนี้ก็กลายเป็นคำภีร์ใหม่ แต่แท้จริงก็เป็นการเอาพุทธพจน์ในเรื่อง
นั้นๆ มารวมไว้อีกลักษณะหนึ่ง โดยมีเรื่องราวหรือข้อพิจาราณาอะไรอย่างหนึ่งเป็นแกน
.................................................................................................
คัดลอกมาจาก
หนังสือเรื่องพระไตรปิฎกสิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
ท่านสามารถดูรายละเอียดหนังสือเล่มนี้//สั่งซื้อได้ที่