คิด อย่างไร จึงจะ ได้ดี และ มีความสุข 12 ข้อคิด เพื่อความสุขความเจริญ
สาธุชนผู้สนใจในธรรมทุกท่าน
สิ่งที่อยู่ในความคิดนั้น เป็นเรื่องสำคัญ
สิ่งที่อยู่ในใจเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งใหญ่
ถ้าเราตั้งใจไว้ผิด...ก็คือเราตั้งชีวิตไว้พลาด เราจะผิดตลอด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อะไรก็ตามอยู่ที่ใจทั้งนั้น
ใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า...มีอำนาจสั่งการ
ทุกอย่างสำเร็จหรือล้มเหลว...อยู่ที่ใจ
พุทธศาสนาจึงสอนให้ฝึกฝนจิตใจ
เมื่อฝึกใจดีแล้ว...ทุกอย่างก็ โอเค นี่ขอยืมสำนวนตลาดหน่อย
ได้ยินเพลงเขาร้องว่า............มันอยู่ที่ใจต่างหาก ทุกข์น้อยทุกข์มาก ...มันอยู่ที่ จ ใอ ใจ ถ้าเราจะปลูกฝังความคิด เพิ่มพลังความคิด สร้างจิต ให้มีพลัง เอาความคิดที่เป็นบวกมาใส่ไว้ในใจ
ทางศาสนาเรียกว่ามโนมยิทธิ... ฤทธิ์ทางใจ ใจมีความคิดที่เป็นบวก ผลลัพธ์จะออกมาเป็นบวก ใจมีแนวคิดเป็นลบ ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นลบ
เอาไฟใส่ก็เกิดพลังร้อน...เอาน้ำแข็งใส่ก็เกิดพลังเย็น ฉันใด
หัวใจ ดวงจิต ความคิด ก็ฉันนั้น
พระพุทธเจ้าสอนกฎนี้มานานตั้ง ๒๕๓๖ ปีแล้ว มีฝรั่งคนหนึ่งเพิ่งมา ค้นพบทฤษฎีนี้ อ่านดูแล้วเข้าท่าดีจึงนำมาฝากท่านผู้ชม และเพื่อจะได้ (Positive thinking) ภูมิใจว่าของๆเขา พระพุทธเจ้าของเราพูดมาก่อน
เขาบอกว่า คนเราจะประสบความสำเร็จต้องมีความคิดเป็นเชิงบวก
บุคคลสำคัญของโลกที่ประสบความสำเร็จก็อยู่ในกฎเกณฑ์นี้
กฎนี้มี ๑๒ ข้อ เป็นกฎของนายโจ จีราร์ด (JOE GIRARD) ผู้ซึ่ง หนังสือกินเนสส์บุ๊ค ออฟ เวิร์ลด์ เรคคอร์ด ได้บันทึกประวัติไว้ว่า เป็น คนเก่ง ยังไม่มีใครลบสถิติได้ เขาเป็นนักขายรถยนต์ที่ทำยอดขาย ๑,๔๒๕ คัน ในปีเดียว
๑๒ ข้อคิด เพื่อชีวิตที่ดีมีความสุข
นายโจ จีราร์ด ได้ตั้งกฎเอาไว้ว่า คนเราต้องมีทัศนคิดในเชิงบวก
โดยใช้กฎ ๑๒ ข้อ ที่ให้เราคิดทุกๆวัน ว่า . .
ข้อที่ ๑ คิดว่า...เราต้องประสบความสำเร็จ
ให้เราคิดอยู่ในใจทุกวันว่า เราต้องประสบความสำเร็จ ถ้าหากเรา คิดอย่างนี้ในใจบ่อยๆ คิดทุกวัน พอเดือนต่อมา วันต่อมายังไม่ประสบ ความสำเร็จ ก็นึกว่าทำไมไม่ประสบความสำเร็จ อะไรมันพร่องอยู่ อะไร มันขาดอยู่ เราก็สามารถเติมในสิ่งบกพร่องนั้นได้ จินตนาการไปแล้วต้อง ไม่คิดถึงปมด้อยอะไรที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรา สามารถเปลี่ยนปมด้อย ให้เป็นปมเด่นขึ้นมาได้
เมื่อเราไปประกอบธุรกิจอะไรก็ตาม เกิดล้มเหลวขึ้นมา ผิดพลาด ขึ้นมา ก็ให้คิดถึงหลักธรรมในทางศาสนาว่า ตอนเกิดมานั้นไม่มีอะไรเลย เริ่มจากศูนย์ แก้ผ้าล่อนจ้อนออกมาจากท้องแม่ เราบอกขาดทุนร้อยล้าน พันล้านอะไรก็ตาม แต่อาจมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเหลืออยู่ เช่น เสื้อผ้า หรืออาจ เหลือที่ดิน เหลือบ้าน ในตอนแบเบาะถ้าแม่ไม่ต้องการเรา เอาไปทิ้งขยะ เราไม่แข็งแรงพอที่จะพยุงกายให้ขึ้นจากถังขยะได้ แต่เดี๋ยวนี้เราเติบโต มาด้วย ๒ มือแม่ที่สรรสร้าง มีกำลัง มีความแข็งแรง มีสติปัญญา มี ปริญญา มีอาชีพ นั่นคือกำไรทั้งหมด เกิดมาแล้วไม่มีอะไรสูญเสีย เหลือ เสื้อผ้าชุดเดียวเป็นกำไร หรือไม่เหลือเสื้อผ้าเลยสักชุด แต่เราก็เหลือสติ ปัญญาที่แม่สร้างให้มา และเราทำให้มี นั่นคือกำไรทั้งสิ้น แล้วเอาอะไร มาขาดทุน จะฆ่าตัวตายไปทำไม
พระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง พระองค์ล้มเหลวอยู่ ๖ ปีเต็ม กว่าจะ พบทางที่ประสบความสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้
ขงจื้อ นักปราชญ์ของจีนกล่าวว่า...
ความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของเรา...ไม่ได้อยู่ที่เราไม่เคยล้ม
แต่อยู่ที่เราสามารถลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่เราล้ม
ทุกคนต้องเคยล้ม...ล้มจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ลุกขึ้นได้สิจึงสำคัญกว่า ก้าวแรกที่พลาดพลั้ง คือก้าวหลังที่มั่นใจ ก้าว ๒ ที่พลาดไป คือก้าวใหม่ ที่มั่นคง คิดอยู่ในใจทุกวันว่า เราต้องประสบความสำเร็จ ความคิดจะ เตือนจิตให้ทำตาม คิดอย่างไม่งดงาม...ร่างกายจะทรามเหมือนใจคิด คิดดี ทำก็ดี พูดก็ดี นี่คือความสำเร็จเบ็ดเสร็จเพราะการคิด
ข้อที่ ๒ คิดว่า...เราเป็นคนน่ารัก
กฎสำคัญของนายจีราร์ดนี้เขาบอกว่า “ผมจะไม่ผิดใจกับใครเลย ผมจะพยายามไม่ผิดใจกับใคร” ทำไมล่ะ...ถ้าผมผิดใจกับใครกับคนๆหนึ่ง คนๆนั้นเขามีญาติพี่น้อง มีเพื่อนแตกกิ่งสาขา มีญาติสนิทมิตรสหายเป็น ร้อย ผิดใจกับคนๆเดียว เหมือนผิดใจกับคนเป็นร้อย โกรธลูกก็พลอย โกรธพ่อแม่ด้วย เรารู้จักเพื่อนแล้วเป็นเพื่อนรักกัน เพื่อนรักกันก็พาไปบ้าน รู้จักพ่อแม่พี่น้อง ได้มิตร ๑ คน เท่ากับบวกมิตรอีกเป็นทวีคูณ ถ้าผิดใจ กับเพื่อน...เราเดินไปพบพ่อแม่พี่น้องเพื่อน จะกล้าทักหรือ? ยิ่งนานวันยิ่ง หมางเมินและโกรธเงียบไปในที่สุด เขามีเพื่อน...เพื่อนก็พลอยโกรธเรา ไปด้วย และถ้าผิดใจสัปดาห์ละคนหรือวันละคน แล้วพอถึงปี...ดินพอก หางหมู มีศัตรูสะสมบวกดับเบิ้ลบวก แล้วจะอยู่กันอย่างไร เมื่อเขาเป็น นักขาย จะไปขายให้ใคร เพราะวันๆก็สร้างศัตรู จึงเป็นความล้มเหลวของ นักขายประการหนึ่ง ความเป็นคนน่ารักไม่ต้องพูดถึง...มันหมดไปแล้ว จริงอยู่ เราไม่สามารถเป็นมิตรกับคนได้ทุกคน ทุกคนต้องมีศัตรู แม้พระ พุทธเจ้าก็มีศัตรูอยู่ไม่น้อย ขอให้ศัตรูมันเกิดขึ้นตามธรรมชาติของมัน อย่าฝืนธรรมชาติโดยการสร้างศัตรูขึ้นมาเสียเอง ปล่อยให้ศัตรูเป็นคน สร้างเรา เราไม่เป็นคนสร้างศัตรู เราใช้ศัตรูเป็นบันได สร้างใจกายให้ เข้มแข็ง เป็นแรงฮึดไปสู่ความสำเร็จ นี่แหละศัตรูสร้างเรา...
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว คิดอยู่ทุกวัน จนคืนวันมันผันผ่าน ก็ถามตัวเอง ว่า มีใครรักเราบ้างหรือไม่ หรือเพิ่มคนเกลียดตลอดเวลา เราก็จะได้คิด ว่า เออ! เราคิดว่าเราเป็นคนน่ารัก แล้วไม่มีใครรักเราเลย สร้างศัตรู เพิ่ม ศัตรูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มีเรื่องอยู่ทุกวัน
คิดว่าเราเป็นคนน่ารัก การจะพูดอะไร...ในทางพระพุทธศาสนา สอนว่า ต้องมีปิยวาจา...คือวาจาที่น่ารัก รู้ว่าตอนไหนควรพูดตอนไหน ไม่ควรพูด อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด บางคนบอกว่ามันเป็นความจริงนะ ก็ต้องพูดซิ ความจริงไม่ได้หมายความ ว่าจะพูดได้ทุกเรื่องราว
พระพุทธเจ้าบอกว่า ความจริง...ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ควรพูด
ความจริงบางเรื่องมีแต่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างเดียว เช่น สมัยหนึ่ง ส.ส.ทะเลาะกันในสภา ก็ไปขุดเอาลูกของ ส.ส.ตรงข้ามมา วิจารณ์ว่าเข้าเรียนในโรงเรียนมีชื่อได้ด้วยความไม่โปร่งใส นี่อาจเป็น ความจริง แต่หัวอกของเด็กไม่รับรู้อะไรด้วย เขาจะเสียหาย เกิดปมด้อย แก่ตัวเขาอย่างยิ่ง
เราไปเยี่ยมคนไข้ คนไข้ย่อมดีใจ เพราะเขาต้องการกำลังใจ แต่ บางคนก็เป็นคนอารมณ์ดีตลอดปีตลอดชาติ ตลกไม่มีกาลเทศะ คนกำลัง แย่แล้วไปพูดว่า “เมื่อวันวานมาเยี่ยมยังแจ่มใส วันนี้ทำไมตัวเหลืองซีดเซียว ...สงสัยจะไม่รอดนะนี่...ออกจากโรงพยาบาลก็ไปวัดเลย...เอาวัดไหนล่ะ... ” อะไรอย่างนี้
ไปเยี่ยมไข้บางคนก็มีของฝาก เช่น ผลไม้ ดอกไม้ บางคนซื้อหนังสือ ธรรมะไปให้ ก็ต้องดูว่าหนังสือชื่ออะไร ไม่ใช่ซื้ออะไรก็ได้ บอกทางร้าน “เอาหนังสือธรรมะมาเล่ม อะไรก็ได้เป็นธรรมะก็แล้วกัน ห่อให้ด้วยสวยๆ” พอคนไข้แกะออกอ่าน...ตาค้าง ไข้ขึ้นมึนหัวตัวร้อน ก็หนังสือธรรมะชื่อ “ตายแล้วไปไหน” อาจตายกันพอดี แช่งกันนี่
การพูดจึงเป็นเอก อีสป...เป็นนักเล่านิทานตัวยง สมองเป็น อัจฉริยะ แต่รูปร่างอัปลักษณ์
เตี้ยแคระหน้าตาดูไม่ได้ แต่ฉลาดยิ่ง วันหนึ่งเจ้านายใช้ให้ไปซื้อของที่ดีที่สุดมาทำเป็นอาหาร เขาก็ไปซื้อลิ้นโค มาทำอาหาร พอเจ้านายให้ไปเอาของที่เลวที่สุดมาทำอาหาร เขาก็ไปซื้อ ลิ้นโคมาอีก เจ้านายถามว่า ทำไมเอาแต่ลิ้นมาเล่า เขาบอกว่าลิ้นนี่สำคัญ มาก ทำให้เกิดสงครามก็ได้ ทำให้สงครามยุติกลายเป็นสันติภาพได้ ทำ ให้เป็น ส.ส. ก็ได้ ไม่ได้เป็นก็ได้ สลายม็อบก็ได้ ให้เกิดม็อบก็ได้
โบราณว่า อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังยั้ง คำพูด คนที่เป็นมิตรกันกว่าจะเป็นมิตรกันได้ กว่าจะเป็นเพื่อนแท้เพื่อนซี้ กันได้ใช้เวลานานมาก แต่ถ้าจะแตกกัน เพราะคำพูดใช้เวลาไม่กี่นาที หรือ กี่ประโยค บางคนไม่เผาผีกันเลยเชียว คนที่เกลียดกันมากถึงขนาดฆ่า กันตาย ส่วนใหญ่เคยรักกันมาก่อนทั้งนั้นแหละ
ผัวเมียตีกันบ้านแตกสาแหรกพัง ชิงชัง แช่งชัก มิใช่เพราะเคยรัก กันมาก่อนดอกหรือ ปากจู้จี้ขี้บ่นเหลือทน จนเพราะปาก ปากพาจนเลย เลิกกันไปคนละหนคนละทาง เลิกเป็นลมหายใจให้กันและกัน
ฉะนั้น เมื่อคิดว่าเราเป็นคนน่ารักแล้ว
เราก็เพิ่มพลังความรัก เพิ่มการกระทำ
ที่ทำให้เกิดความน่ารักขึ้นมาได้
ข้อที่ ๓ คิดว่า...เราเป็นคนน่าคบ
ต้องเป็นคนรู้จักให้ การให้นี่ถือเป็นลิ่มสลักใจ ให้อะไรใครแล้วก็เป็น ที่ติดตราตรึงใจ ตราไว้ในดวงจิต ธรรมชาติของคน พอใจในการรับมาก กว่าการให้ พระเวสสันดรเป็นนักให้ ใครเกิดมาเพื่อให้ โลกจะไม่มีวันลืม แม้พระเวสสันดรจะจากไปนาน แต่เราก็ยังพูดถึงท่านอยู่จนทุกวันนี้ ผู้ให้ ย่อมสง่าผู้รับย่อมนอบน้อม ผู้ให้ย่อมได้มิตร คนหมู่มากย่อมรักผู้เป็น นักให้... รักที่มีแต่ให้โดยไม่ขอ รักจะก่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่
ยิ่งให้เขาเรายิ่งจักสบายใจ ใครไม่เคยให้ใครลองให้ดู
(ศิวกานท์ ปทุมสูติ)
การคบหาสมาคมกับใครนั้น ควรจะมีวิธีอย่างไร การคบได้ต้อง เป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง จึงจะน่าคบ ไม่มีใจแคบ ถ้าใจแคบ คนก็ไม่อยาก คบ คือคบเขาเพื่อนเอาเปรียบเขา เอาประโยชน์จากเขา ไม่มีใครพอใจ
ข้อที่ ๔ คิดว่า...เราเป็นคนมีระเบียบ
คือไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์กติกา ไม่ชอบอยู่ในคอก อยากดิ้นรนอยู่ ข้างนอก เลยกลายเป็นคนนอกคอกไป เกิดแต่ปัญหาอยู่เรื่อย
โรงเรียนไหนก็ตามมีกฎเกณฑ์กติกาดี พ่อแม่ก็อยากเอาลูกหลาน ไปเข้าเรียน เพราะมีความมั่นใจว่า ลูกไม่เสียคนแน่ๆ โรงเรียนไหนกฎ ระเบียบหย่อนยาน ตามใจนักเรียน ง้อนักเรียน ง้อผู้ปกครอง อย่างไรก็ได้ ขอให้โรงเรียนอยู่ได้ก็แล้วกัน หนักไปทางแบงก์ เบาในทางระเบียบ โรงเรียนนี้คงถูกปิดในไม่ช้า และไม่มีผู้ปกครองคนไหนกล้าเสี่ยง เอาลูกมา ฝากไว้ให้เรียน
ระเบียบทำให้คนมีสง่า กฎกติกาทำให้คนเป็นผู้เป็นคน พูดไม่รู้ เวลา มาไม่ตรงตามนัด รถติดแออัด ส่วนใหญ่ขาดระเบียบวินัยทั้งสิ้น
แม้แต่ประชาธิปไตยก็ต้องมีกฎเกณฑ์ การเมืองยุ่งเหยิงเพราะอะไร เพราะมีคนไม่เคารพกฎเกณฑ์ ชอบเล่นนอกเกณฑ์ ผิดกฎกติกา
ถังขยะตั้งให้ทั่วพระนคร แต่คนไม่มีระเบียบวินัย ก็ไม่ใส่ใจว่าอะไร คือถังขยะ จึงสกปรกไปทั้งบ้านทั้งเมือง
หากคนเรา มีนิสัย ไม่สะอาด
ถึงเก็บกวาด อย่างไร ก็ไร้ผล
ความสะอาด ต้องมีใน นิสัยคน
จึงจะพ้น สกปรก รกรุงรัง
ระเบียบหมายถึงกฎเกณฑ์ กติกาของสังคม เช่น กฎของโรงเรียน ว่าต้องนุ่งอย่างนั้น ไว้ผมอย่างนั้น บางคนบอกบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย เมื่อเป็นประชาธิปไตย จะมาบังคับให้ซ้ายหันขวาหันได้อย่างไร ฉันจะทำ อย่างนี้อย่างนั้น ฉันจะพูด จะเขียน จะทำ ล่วงละเมิดสิทธิของใครก็ได้ นี่ก็เกินไป
ข้อที่ ๕ คิดว่า...คนกล้าหาญ
อยู่ในที่ประชุม ไม่แสดงความคิดเห็น ใครจะพูดจะเห็นอะไรก็ว่าไป ฉันซดกาแฟเงียบ แต่พอเลิกประชุมออกมาข้างนอกก็จ้อเลย คนนั้นความ เห็นเต่าล้านปี คนนี้คนแก่ไดโนเสาร์ ไม่ทันสมัย แต่อยู่ในที่ประชุมไม่เคย พูดเลย ข้างนอกเก่งและอัจฉริยะที่สุด
หรือที่ประชุมขอมติให้ยกมือ ถ้าอยู่หน้าก็เหลียวดูข้างหลัง ก่อนว่า มีใครยกมั่ง ถ้ายกยกด้วย ถ้าไม่ยกก็ไม่ยก เกิดเผลอยกขึ้นมาเหลียวดู ข้างหลังไม่มีใครยก มือก็หดอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง พอทำอะไรขึ้นมาได้ ถูกใครวิพากษ์วิจารณ์ก็เขว หรือเลิกทำไปเลย น้อยอก น้อยใจ หวั่นไหว เปราะบาง แตกหักง่ายไม่ทานทนเสียหาย ไม่ได้ประโยชน์ กับตัวเอง ความกลัวเป็นความเสื่อมอย่างนี้ ต้องคิดว่าเรากล้าหาญ และ กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแก่กาละเทศะโอกาส ไม่กล้าที่จะทำสิ่งผิด เพราะกล้าแบบนี้เรียกว่ากล้านักมักบิ่น
เมื่อทำถูกแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าใครจะว่า นักปราชญ์ฝรั่งดี อีเมอร์สัน กล่าวว่า “สิ่งที่ข้าพเจ้าทำ เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่คน ทั้งหลายนึก...” ในทางศาสนาสอนว่า ต้องมีเวสารัชชกรณธรรม ๕ คือ ธรรมที่ทำให้เกิดความกล้าหาญ ๕ อย่าง ในข้อที่ ๑ นั่นคือให้มีสัทธา คือ ความเชื่อมั่นในตัวเอง เมื่อมีปัญญารอบรู้แล้ว ก็จงเป็นคนกล้าหาญและ จะพบกับความชาญชัย คือ ชนะนั่นเอง
คนเรานั้นต้องเป็นคนกล้าหาญในบางเรื่อง กล้าในการที่จะทำอะไรๆ มีนักการเมืองท่านหนึ่งพูดไว้น่าฟังว่า “ความกลัวทำให้เสื่อม” กลัวอะไร อย่ากลัว อย่ากลัวความดี เพราะคนดีไม่มีเสื่อม ความชั่วคนชั่วต่างหาก ที่เสื่อม เสื่อมยศ เสื่อมอำนาจ เสื่อมชื่อเสียง มีตัวอย่างเสื่อมให้เห็น ทุกวัน จงกล้าดีเถิด ถ้าไม่กล้าดี...จะไม่กล้าไปเสียหมด จะอยู่ที่ประชุม ไหนก็ไม่กล้าแสดงออก ทำอะไรไม่เป็นตัวของตัวเอง มีความหวาดกลัว อยู่ตลอดเวลา งานก็ไม่สำเร็จ เช่นจะทำงานก็กลัวว่าจะทำไม่ได้ จะ ค้าขายก็กลัวว่าจะไม่ได้กำไร จะเรียนหนังสือก็กลัวสู้เขาไม่ได้ กลัวโน่น กลัวนี่ไปสารพัด อยู่อย่างคนขาดความมั่นใจ
ข้อที่ ๖ คิดว่า...เราเป็นคนมองโลกในแง่ดี
คิดว่าเราเป็นคนมองโลกในแง่ดี ถ้ามองในแง่ร้ายแล้ว ปัญหามัน เยอะเหลือเกิน เพราะทุกวันนี้มีเรื่องร้ายๆมากมาย ต้องหัดมองโลกใน แง่ดีบ้าง
รถติด ก็นึกว่า เมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนา มีที่จอดรถรามากมาย บนทางด่วนก็จอดกันนิ่ง ทุกถนนหลวงจอดได้ ไม่โดนใบสั่งไม่โดนล็อกล้อ ดีจังเลย
น้ำท่วม ก็คิดว่า เมื่อสมัยวัยรุ่นเคยฝันหวาน อยากมีบ้านเป็นของ ตนเอง และที่สำคัญอยากให้บ้านอยู่ริมแม่น้ำ ได้เห็นเรือวิ่ง เห็นสายน้ำ สายลม แสงแดด เดี๋ยวนี้ก็สมใจ น้ำมาเองถึงข้างในบ้านที่นอน ห้องครัว มีแต่น้ำ บ้านเรามีห้องน้ำมากกว่าใคร ลอยกระทงก็สบายดี ไม่ต้องไปไหน ลอยมันในบ้านเลย
ถ้าเรามองในแง่ร้าย คนจะไม่มีดี เหมือนใส่กล้องจุลทรรศน์ทาน อาหาร จะเห็นแต่เชื้อโรคเต็มไปหมด จะไม่มีใครทานข้าวได้เลย เชื้อโรค เล็กๆ ช่างมันเถอะหากไม่ร้ายแรง เชื้อใหญ่ค่อยจัดการ ไม่คบหาสมาคม
ใครบกพร่องเล็กน้อยก็ปล่อยบ้าง ความผิดใหญ่ค่อยว่ากัน
หาจุดดีของเพื่อนให้พบ ไม่มีใครขี้เหร่ไปทั้งร่าง
หาส่วนสวยมาชื่นชมบ้าง หาความดีมาพูดชมบ้าง
ก็ จ ะ เ ป็ น เ ส น่ ห์ กั บ ตั ว เ อ ง
หากหาแต่จุดด่างพร้อยเห็นใครไม่ดีไปเสียหมด นั่งว่านั่งนินทาแต่ เพื่อนร่วมงาน นินทาแต่เจ้านาย หากเขารู้เข้าเราก็จะเป็นคนน่ารังเกียจ ไม่มีใครอยากคบหา เพราะเรานินทาใครให้ใครฟัง คนรับฟังก็ต้องนึกว่า ถ้าคนนี้คุยกับคนอื่น คงเอาเราไปนินทาเหมือนกัน
เห็นใครก็ชอบกระแนะกระแหนเสียดสีเขาไปเรื่อย ผลที่สุดก็ต้อง อยู่โดดเดี่ยว เพราะสร้างศัตรูไปทั่ว หน้าที่การงานก็ไม่เจริญ เพราะ
มอง ไปทางไหนไม่มีมิตรแท้ของตัวเอง แม้แต่เจ้านายยังเป็นศัตรู จะเอา อะไรมาเจริญได้ ต่อมาก็จะรู้สึกอึดอัด เร่าร้อน ว้าเหว่ อ้างว้าง เพราะ ขาดเพื่อน ก็จะเห็นว่าที่ที่ทำงานอยู่นี้คือนรก เพื่อนร่วมงานคือสัตว์นรก มีเราเป็นเทวดาอยู่คนเดียว เมื่อเป็นเทวดาก็ต้องหาที่จุติเคลื่อนย้ายไป สู่วิมานใหม่ ที่ไม่ใช่นรก แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เพราะอยู่ที่ไหน....หากใจที่มองโลกในแง่ร้ายอยู่
อยู่ไหนก็เท่ากับไปสร้างนรกแห่งใหม่ สร้างศัตรูเพิ่มขึ้น
มองอะไรต้องให้มีประโยชน์
มองดวงอาทิตย์ก็เคืองตา ไม่ผาสุก
มองใบไม้เขียวก็เย็นตาสบายใจ
มองคนแง่ดี . . . หัวใจก็เป็นสุข
มองในแง่ร้าย . . . หัวใจก็เป็นทุกข์
บางครอบครัวที่เป็นสวรรค์ เพราะเขาไม่ได้อยู่กันอย่างคอยจับผิด หรือระแวงซึ่งกันและกัน ให้เกียรติ มองแต่ความดี มีอยู่บ้านหนึ่ง ภรรยาหุงข้าวแข็งเกินไป ยังไม่สุกดี สามีบอกว่า สุกๆดิบๆ มันดีพี่ชอบ ภรรยาหุงข้าวไหม้ สามีก็บอกว่า ไหม้ก็ดี มันหอมดี...พี่ชอบ ภรรยาหุงข้าวเปียก สามีก็บอกว่า เปียกก็ดี นิ่มนวลชวนกินดี...พี่ชอบ ภรรยา รำคาญ อะไรก็ดี...พี่ก็ชอบ เลยยันลงสระน้ำตูม สามียิ้มร่าตะโกนบอกว่า แหม! กำลังอยากอาบน้ำอยู่พอดี...พี่ชอบ คิดดีมันมีอานิสงส์ มันไม่มี ปัญหา แง่ร้ายปัญหามันเยอะ
หลวงพ่อพุทธทาสท่านเขียนกลอนไว้ว่า...
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา สิ่งที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี เพียงส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนค้นหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย
หัดให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง
พูดมาได้ ๖ ข้อเท่านั้น เวลาหมดแล้ว เอาไว้โอกาสหน้ามาพูดจากัน ให้ฟังใหม่ ชีวิตจะก้าวหน้าจะประสบความสำเร็จ สุขมากทุกข์น้อยก็จง คิดทุกวัน ในแง่บวก ในแง่จะสร้างพลังให้กับใจให้ใจมีพลัง มีความหวัง คิดในเชิงลบ มองในแง่ร้าย ใจจะหมดกำลัง ใจจะอ่อนแอ เมื่ออ่อน หมดกำลังใจ จะไปยกไปแบกไปหามทำอะไรได้
ขอทบทวนกฎ ๑๒ ข้อ ให้เอาไปคิด เพื่อชีวิตที่ดี
ดังต่อไปนี้
๑. คิดว่าเราต้องประสบความสำเร็จ
๒. คิดว่าเราเป็นคนน่ารัก
๓. คิดว่าเราเป็นคนน่าคบ
๔. คิดว่าเราเป็นคนมีระเบียบ
๕. คิดว่าเราเป็นคนกล้าหาญ
๖. คิดว่าเราเป็นคนมองโลกในแง่ดี
๗. คิดว่าเราเป็นคนน่าสนใจ
๘. คิดว่าเราเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น
๙. คิดว่าเราเป็นคนกว้างขวาง
๑๐. คิดว่าเราเป็นคนแข็งแรง อดทน
๑๑. คิดว่าเราเป็นคนมีบารมี
๑๒. คิดว่าเราชอบด้านความสงบ
เหลือเวลาอีก ๑ นาที ขอแถมหน่อย ...
การอ่านหนังสือเป็นเรื่องดี ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น กล่าวว่า “เพื่อนที่ดีที่สุดของข้าพเจ้า คือผู้นำหนังสือมาให้ข้าพเจ้าอ่าน”
อาตมาชอบเขียนหนังสือและพิมพ์แจกเฉพาะหนอนหนังสือ จึงรวม ข้อคิดสั้นๆ สาระเต็มร้อย ผู้ชมทางบ้านที่ดูทีวีอยู่สนใจเขียนจดหมายไป ขอได้ที่ คณะ น. ๒๐ วัดโพธิ์ท่าเตียน ติดแสตมป์ ๔ บาท จะส่งไปให้อ่าน ฟรีถึงบ้าน รีบหน่อยช้าอาจจะหมดได้ ของดีมีน้อย เอ้อ! เจ้าหน้าที่มา ชูนิ้วบอกหมดเวลาแล้ว
. . . ขอเจริญพรทุกท่าน . . .
บรรยายทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง ๕ วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๖
ถ่ายทอดสด หนังสือพิมพ์บ้านเมืองรายวัน ขออนุญาตนำไปตีพิมพ์
ท่านที่สนใจ สั่งซื้อหนังสือ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติอได้ที่
ไตรลักษณ์ ศูนย์หนังสือพระพุทธศาสนา ริมกำแพงวัดญาณเวศกวัน
E-mail : trilak_books@yahoo.com
โทร. 086-461-8505,02-482-7358