พระพุทธศาสนา มีความมุ่งหมายอย่างไร
โดย หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ
(บทความคัดย่อ ส่วนหนึ่งของหนังสือเรื่อง ตัวกู ของกู)
ความมุ่งหมายของพุทธศาสนานั้น มักจะถูกคนส่วนมาก
เข้าใจไปเสียว่ามุ่งหมายจะนำคนไปเมืองสวรรค์
จึงได้มีการสอนกัน เป็นอย่างมากว่าสวรรค์เป็นแดนที่คนควรไปให้ถึง
สวรรค์เป็นแดนแห่งความสุขที่สุด
เลยมีการชักชวนกันให้ปรารถนาสวรรค์
ปรารถนา กามารมณ์อันวิเศษในชาติหน้า
คนทั้งหลายที่ไม่รู้ความจริง ก็หลงใหลในสวรรค์ มุ่งกันแต่ จะเอาสวรรค์ ซึ่งเป็นแดนที่ตนจะได้เสพกามารมณ์ตามปรารถนา เป็นเมืองที่ตนจะหาความสำราญได้อย่างสุดเหวี่ยง แบบสวรรค์ นิรันดรของศาสนาอื่น ๆ ที่เขาใช้สวรรค์เป็นเครื่องล่อให้คนทำความ ดี คนจึงไม่สนใจที่จะดับทุกข์กันที่นี่และเดี๋ยวนี้ตามความมุ่งหมาย อันแท้จริงของพุทธศาสนา นี่คืออุปสรรคอันสำคัญ และเป็นข้อแรก ที่สุด ที่ทำให้คนเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนาไม่ได้ เพราะไป มุ่งเอาตัณหาอุปาทานกันเสียหมด.
ฉะนั้น เราควรจะต้องสั่งสอนกันเสียใหม่ และพุทธบริษัท ควรจะเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า สวรรค์ดังที่กล่าวว่าเป็นเมืองที่จะต้อง ไปให้ถึงนั้น เป็นการกล่าวอย่างบุคคลาธิษฐาน คือ การกล่าวสิ่งที่ เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม หรือเป็นวัตถุขึ้นมา การกล่าวเช่นนั้น เป็นการกล่าวในลักษณะโฆษณาชวนเชื่อในเบื้องต้น ที่เหมาะสำหรับ บุคคลไม่ฉลาดทั่วไป ที่ยังไม่มีสติปัญญามากพอที่จะเข้าใจถึงความ หมายอันแท้จริงของพุทธศาสนาได้ แม้คำว่า “นิพพาน” ซึ่งหมายถึง การดับความทุกข์ ก็ยังกลายเป็นเมืองแก้ว หรือนครแห่งความไม่ตาย มีลักษณะอย่างเดียวกันกับเทียนไท้ หรือสุขาวดีของพวกอาซิ้มตาม โรงเจทั่วไป สุขาวดีนั้นตามความหมายอันแท้จริง ก็มิได้หมายความ ดังที่พวกอาซิ้มเข้าใจเช่นเดียวกัน แต่มีความหมายถึงนิพพาน คือ ความว่างจากกิเลส ว่างจากทุกข์ มิได้หมายถึงบ้านเมืองอันสวยงาม ทางทิศตะวันตก ซึ่งมีพระพุทธเจ้าชื่ออมิตาประทับอยู่เป็นประธาน ที่ใคร ๆ ไปอยู่ที่นั่น แล้วก็ได้รับความพอใจทุกอย่างตามที่ตนหวัง เพราะว่าแวดล้อมไปด้วยสิ่งสวยงามและรื่นรมย์ที่สุดที่มนุษย์หรือ เทวดาจะมีได้ นี่เป็นการกล่าวอย่างบุคคลาธิษฐานทั้งนั้น
ส่วนพวกนิกายเซ็นไม่ยอมเชื่อว่าอมิตาภะเป็นเช่นนั้น แต่ได้ เอาคำว่าอมิตาภะนั้นมาเป็นชื่อของจิตเดิมแท้ อย่างที่ท่านเว่ยหล่าง เรียก หรือเอามาเป็นชื่อของความว่าง อย่างที่ท่านฮวงโปเรียก เมื่อ เป็นดังนี้ อมิตาภะหรือสุขาวดีของพวกอาซิ้มตามโรงเจ ก็กลายเป็น ของเด็กเล่น หรือของน่าหัวเราะเยาะสำหรับคนฉลาดไป
ฉะนั้น เมื่อถามว่า พุทธศาสนามีความมุ่งหมายอย่างไร ก็ ควรจะตอบว่า มุ่งหมายจะแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวันของคนทุกคน ในโลกนี้ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้โดยไม่มีความทุกข์เลย พูดอย่าง ตรง ๆ สั้น ๆ ก็ว่า ให้อยู่ในกองทุกข์โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ หรือพูด โดยอุปมาก็ว่าอยู่ในโลกโดยไม่ถูกก้างของโลก หรืออยู่ในท่ามกลาง ของเตาหลอมเหล็กอันใหญ่ที่กำลังลุกโชนอยู่ แต่กลับมีความรู้สึก เยือกเย็นที่สุดดังนี้ ขอสรุปว่า พุทธศาสนามุ่งหมายที่จะขจัดความ ทุกข์ให้หมดไปจากคน ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ หาใช่มุ่งหมายจะพาคนไป สวรรค์อันไม่รู้กันว่าอยู่ที่ไหน มีจริงหรือไม่ และจะถึงได้หลังจาก ตายแล้วหรือในชาติต่อ ๆ ไป จริงหรือไม่เพราะไม่มีใครพิสูจน์ได้ นอกจากการกล่าวกันมาอย่างปรำปรา แล้วก็ยอมเชื่อกันไปโดยไม่ใช้ เหตุผล จนเป็นความงมงายไปอีกอย่างหนึ่ง
บางคนอาจจะแย้งว่า คำสอนของพุทธศาสนามีอยู่เป็นชั้น ๆ ความมุ่งหมายก็ควรจะมีเป็นชั้น ๆ เช่น ให้มีความเจริญในโลกนี้ แล้วมีความเจริญในโลกหน้า แล้วจึงถึงความเจริญอย่างเหนือโลก ดังที่ชอบพูดกันว่า มนุษยสมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่ทราบว่า สมบัติทั้ง ๓ นั้นเป็น เพียงระดับต่าง ๆ ที่ต้องลุถึงให้ได้ในโลกนี้และเดี๋ยวนี้ หรือในชาตินี้ นั่นเอง ไม่ใช่เอาสวรรค์ต่อเมื่อตายแล้ว และเอานิพพานหลังจากนั้น ไปอีกไม่รู้กี่สิบชาติ
ตามความหมายที่ถูกต้องนั้น มนุษยสมบัติหมายถึง การได้ ประโยชน์อย่างมนุษย์ธรรมดาสามัญจะลุถึงได้ ด้วยการเอาเหงื่อไคล เข้าแลก จนเป็นอยู่อย่างผาสุก ชนิดที่คนธรรมดาสามัญจะพึงเป็น อยู่กันทั่วไป สวรรค์สมบัตินั้นหมายถึงประโยชน์ที่คนมีสติปัญญา มี บุญ มีอำนาจวาสนาเป็นพิเศษ จะพึงถือเอาได้โดยไม่ต้องเอาเหงื่อ ไคลเข้าแลก ก็ยังมีชีวิตรุ่งเรืองอยู่ได้ ในท่ามกลางทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง และความเต็มเปี่ยมทางกามคุณ ส่วนนิพพาน สมบัตินั้นหมายถึงการได้ความสงบเย็น เพราะไม่ถูก ราคะ โทสะ โมหะ เบียดเบียน จัดเป็นประโยชน์ชนิดที่คนสองพวกข้างต้นไม่อาจ จะได้รับ เพราะเขาเหล่านั้นยังจะต้องเร่าร้อนอยู่ด้วยพิษร้ายของ ราคะ โทสะ โมหะ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเป็นธรรมดา แต่ถึงกระนั้น ก็ควรพิจารณาให้เห็นว่าสมบัติทั้ง ๓ นี้ เป็นเพียงประโยชน์ที่อยู่ใน ระดับหรือชั้นต่าง ๆ กัน ที่คนเราควรจะพยายามเข้าถึงให้ได้ทั้งหมด ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือในเวลาปัจจุบันทันตาเห็น นี้จึงจะได้ชื่อว่าได้รับ สิ่งซึ่งพุทธศาสนาได้มีไว้สำหรับมอบให้แก่คนทุกคน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งก็คือคนที่ไม่ไร้ปัญญาเสียเลย