การตอบแทนพระคุณของแม่
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
จากหนังสืเรื่อง แม่พระในบ้าน
ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลัก
คำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ
ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตาม สมควรแก่เวลา
งานศพของแม่
วันนี้...เจ้าภาพมาทำศพคุณแม่ ก็อยากจะพูดเรื่องแม่กับ ญาติโยมสักเล็กน้อย เพื่อจะได้เกิดความสำนึกในหน้าที่ว่า เรา ทุกคนมีแม่ด้วยกันทั้งนั้น พ่อก็มีเหมือนกัน แต่ว่างานศพนี้เป็น งานศพแม่ ไม่ใช่งานศพพ่อ เพราะฉะนั้นจะพูดเฉพาะแต่เรื่องแม่ เพื่อให้เราทั้งหลายได้นึกว่าเราก็มีแม่เหมือนกัน แล้วเราควรจะทำ อะไรกับคุณแม่ของเราบ้าง เมื่อเรานึกได้ว่าเรามีแม่?...
ความหมายของคำว่า “แม่”
คำว่า “แม่” ในภาษาไทยนั้น เป็นคำที่น่าฟัง ไพเราะเสนาะหู เป็นคำที่เด็กพูดก่อนคำใดๆ เด็กพูดได้นี่ต้องพูดคำว่า “แม่” ก่อน แต่ว่าอาจจะพูดไม่ชัด ออกเสียงเป็น “มะ” เป็น “แมะ” อะไรไปก็ได้ แต่จุดหมายก็คือเรียกคนที่เขารู้จักมาก่อนใครๆ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับ ตัวเขากว่าใครๆ ผู้ที่ใกล้ชิดต่อเด็กน้อยๆก่อนใครๆก็คือ แม่ สัมผัส ที่เด็กได้สัมผัสก่อนใครๆก็คือเนื้อหนังของแม่ น้ำนมของแม่ที่ทำให้เด็กรู้จักแม่แล้ว ก็อยากเข้าใกล้ เวลาใดเด็กร้องไห้ พอแม่อุ้มมาประทับที่อกหยุดร้องทันที ที่หยุดร้องไห้ก็เพราะเขาได้สัมผัสกับ เนื้อหนังที่เขารู้จักดีว่าเป็นเนื้อหนังที่มีแต่ความรัก มีแต่ความเมตตาต่อตัว เขาจึงได้เกิดความรัก ความเคารพบูชา
คำว่า “แม่” จึงเป็นคำที่มีความหมายในทางชื่นอกชื่นใจ เราจึงเรียกคนที่เกิดเรามาว่า “แม่” เรียกคำอื่นมันก็ไม่ชื่นใจ
ในหมู่คนไทยเราเองนั้น เรียกคำว่า แม่ มาตั้งแต่โบราณ ในครอบครัวที่เป็นผู้ดีหน่อย ก็ใช้คำว่า คุณ เข้ามาข้างหน้า เป็นคำ ให้เกียรติว่า คุณแม่ คุณพ่อ คุณน้า คุณอา คุณลุง คำว่า คุณ นี้ เป็นคำเพิ่มเข้ามา ก็ด้วยความเชิดชูบูชานั่นเอง แต่ถึงแม้เราเรียกว่า “แม่” เฉยๆ มันก็เป็นคำที่น่าฟังอยู่นั่นเอง
ผู้หญิงเรานี่อยากจะให้ใครๆเรียกว่า แม่ เพราะเขาเรียกว่า แม่นั้น เป็นการแสดงความรักที่บริสุทธิ์ เป็นการแสดงความรักที่มีความเคารพอยู่ในตัว เรียกอย่างอื่นมันเป็นความรักแบบอื่น เรียกว่า แม่ นี่เป็นความรักที่มีความเคารพสักการะบูชา เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้เป็นแม่ ย่อมมีความสบายใจ คนที่ไม่มีโอกาสเป็นแม่ เพราะอะไร ก็ตาม ก็อยากจะเป็นแม่ของคนอื่นเขา จึงต้องเลี้ยงเด็กไว้ แล้วก็ เด็กนั้นเรียกว่า แม่ ก็สบายใจ ยิ่งคนที่ไม่ใช่แม่ เช่น เป็นแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงก็เป็นแม่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่แม่เกิด เป็นแม่เลี้ยง
คนที่เลี้ยงเรานั่นแหละคือแม่
ความจริงแม่เลี้ยงนั่นแหละสำคัญกว่าแม่เกิด เพราะคน บางคนแม่เกิดตายไปเสียแล้ว แล้วก็มีคนอื่นมาสมัครเป็นแม่ เขา ไม่ได้เกิดเรามา แต่เขาสมัครมาเลี้ยงเรา ให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูแก่เรา ให้เราได้อยู่ได้กินอย่างสะดวกสบาย มีความเสียสละทุกอย่าง เพื่อให้เด็กนั้นเจริญเติบโต ความจริงคนที่เป็นแม่เลี้ยง ควรจะได้รับ ความเคารพบูชามากกว่าแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงเสียอีกด้วยซ้ำไป
สมัยนี้เด็กบางคนเมื่อรู้ว่าไม่ใช่แม่ของตัว เขาก็กลับดูหมิ่น ไม่เคารพ เวลามีอะไรนิดหน่อยก็นึกในใจว่าก็ไม่ใช่ลูกของแม่ แม่จึง ไม่รักหนู การคิดเช่นนั้นเป็นการคิดเอาเอง ไม่ใช่คิดถูกต้อง น้ำใจ ของแม่ที่เป็นแม่เลี้ยง หรือทำหน้าที่เลี้ยงเด็ก ก็มีความรัก ความเอ็นดูต่อเด็กนั้นเหมือนกับแม่บังเกิดเกล้าเหมือนกัน บางทีอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจคำว่า แม่เลี้ยง พ่อเลี้ยง แต่ ควรจะนึกว่าเขาเป็นแม่ที่เลี้ยงเรา เขาเป็นพ่อที่เลี้ยงเรา เราก็ควร จะเคารพสักการะบูชาเช่นเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่มีลูก ก็อยากจะเป็นแม่อย่างนี้ แต่คนที่มีโอกาสได้เป็นแม่ ก็มีความสบายใจที่ได้ ทำหน้าที่เลี้ยงลูก
ความหวังของแม่
ผู้หญิงเราเมื่อแต่งงานแล้วก็อยากจะเป็นแม่ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีโอกาสจะเป็นก็มักจะวิ่งเต้นขวนขวาย เขาบอกว่าหลวงพ่อ ที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ หรือมีอะไรศักดิ์สิทธิ์ ก็มักจะไปกราบไหว้ เพื่อขอให้ มีลูกกับเขาบ้าง อันนี้แสดงว่าน้ำใจของสตรี เมื่อแต่งงานแล้วก็ อยากจะเป็นแม่ต่อไป ทำไมท่านจึงอยากจะเป็นแม่ เพราะว่าเมื่อ ไม่มีลูกก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ใคร เด็กเป็นความหวังของครอบครัว เป็นอนาคตของวงศ์สกุล เพราะฉะนั้น ครอบครัวใดมีบุตรธิดาก็ สบายใจ สบายใจว่าทรัพย์ที่เราหาไว้นั้นไม่ไปไหน จะตกแก่ทายาทของเรา เมื่อเราแก่ชราลงไปจะมีคนเลี้ยงดูเรา ให้ความสุขความสบายแก่เรา เมื่อเราตายลงไปแล้ว ลูกจะได้ทำศพให้แก่เรา อันนี้ เป็นความปรารถนาของมารดาทั่วๆไป
คิดไปแล้วก็เหมือนกับมารดาเห็นแก่ตัว แต่ความจริงไม่ใช่ มันเป็นความคิดที่เป็นธรรมชาติของสตรีที่อยากจะเป็นแม่ และ เมื่อได้เป็นแม่ก็มีความสบายใจ ไม่อิดหนาระอาใจที่จะเลี้ยงบุตร ธิดาของตนให้มีความเจริญเติบโต
คุณธรรมของแม่
คนที่เป็นแม่ มีคุณธรรมในใจหลายอย่าง เช่น เป็นผู้มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาพร้อมในทางพระพุทธศาสนา จึงเรียก คนที่เป็นแม่ว่าเป็น “พรหม” ของบุตรธิดา ชื่อว่าเป็นพรหมก็เพราะ มีคุณธรรมของพรหม พรหมนั้นไม่ใช่รูปปั้นสี่หน้าที่ตั้งอยู่หน้าโรงแรมเอราวัณ แต่หมายถึงคนที่มีคุณธรรมสี่ประการประจำใจ เช่น มี เมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่ผู้อื่น มี กรุณา สงสาร อยากจะช่วยคนอื่นให้พ้นไปจากความทุกข์ ความเดือดร้อน มี มุทิตา คือ ยินดีเพลินใจในเมื่อคนอื่นนั้นมีความสุขความเจริญ มีความ ก้าวหน้าในชีวิต ในการงาน ส่วน อุเบกขา นั้นเรียกว่าวางเฉย ไม่ใช่เฉยๆ แต่เฉยเพราะยังไม่มีเรื่องที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง เหตุการณ์ปกติ คล้ายกับคนที่สตาร์ทรถยนต์ติดดีแล้ว ก็นั่งดูเฉยๆ เมื่อใดเครื่อง มันดังคึ่กคั่ก...ก็เข้าไปแก้ไข แม่ของเราก็เป็นอย่างนั้น เมื่อลูกเป็นไปโดยปกติก็ไม่ยุ่งอะไรแต่ท่านมองดูอยู่ด้วยความสนใจ มีอะไรขัดข้อง มีอะไรเป็นทุกข์เป็นร้อน คนที่จะวิ่งเข้ามาประคับประคองเราก่อนใครก็คือแม่ของเรานั่นเอง เพราะคุณแม่ท่านมีคุณธรรม ท่านมีหน้าที่ให้ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนมากนัก...เว้นไว้แต่ลูกมีความสำนึก แล้วก็ให้ ถึงไม่ให้ท่านก็ไม่ไปประท้วง ไม่คิดอะไรจากลูกของท่าน ท่าน อยากเห็นความสุขความสบายจากลูก
ความชื่นใจของแม่จากลูก
เมื่อลูกมีความเจริญทั้งกายทั้งใจ มีความเติบโต มีหน้าที่ การงานทำเป็นหลักฐาน แม่นั่นแหละเป็นผู้มีความชื่นใจที่สุด มี ความสบายใจที่สุดกว่าใครๆ เมื่อใดลูกตกต่ำ ชีวิตไม่ก้าวหน้า มี ปัญหา มีความทุกข์ ความเดือดร้อน ผู้ที่มาเป็นทุกข์กับเราก่อน ใครๆก็คือคุณแม่นั่นเอง เพราะฉะนั้น แม่นี่คือผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์ ของเรา เป็นสหายผู้คอยให้ความช่วยเหลือแก่เราตลอดเวลา ไม่มี คนใดจะมีน้ำใจเท่าแม่ เราลองคิดดู แม่นั่นแหละเป็นผู้มีน้ำใจต่อ เราอย่างแท้จริง สมกับที่ท่านเรียกว่าเป็นพรหม ท่านมีพรหมวิหาร ธรรมอยู่ในใจครบถ้วนทีเดียว
แม่คือเทวดาร่มโพธิ์ร่มไทรของลูก
อีกประการหนึ่ง ท่านเรียกแม่ว่า เทวดา เพราะให้ความ คุ้มครอง ให้ความรักษา ท่านกล่าวว่า บ้านเรือนใดมีการเคารพ มารดาบิดา บูชามารดาบิดา บ้านเรือนนั้นมีเทวดาคุ้มครองรักษา บ้านเรือนใดบุตรธิดาไม่เคารพ ไม่บูชา ไม่สักการะต่อมารดาบิดา บ้านเรือนนั้นไม่มีเทวดารักษา เทวดาก็คือความงามความดีนั่นเอง ไม่ใช่เทวดาที่เขาเขียนไว้ตามฝาผนัง เทวดานั้นก็คือคุณธรรม ครอบครัวใดเคารพมารดาบิดา คนในครอบครัวนั้นมีคุณธรรม มีความรักพ่อรักแม่ ความรักพ่อแม่นั่นแหละคือสิ่งคุ้มครองครอบครัว เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้บุตรธิดาในครอบครัวนั้นอยู่เย็นเป็นสุข เพราะ ฉะนั้นผู้เคารพมารดาบิดา จึงชื่อว่ามีโพธิ์ไทรใบดก คุ้มครองรักษา ไม่ถูกฝน ไม่ถูกแดด ไม่ถูกความทุกข์ ความเดือดร้อน ครอบงำ จิตใจ มีความเป็นอยู่อย่างปลอดภัย
ขอให้เราสังเกตดู ในครอบครัวใด บุตรธิดามีความรัก มี ความเคารพต่อมารดาบิดา ครอบครัวนั้นก็เป็นปึกแผ่นมั่นคง แน่นหนา เพราะความเคารพมารดาบิดานั้นเป็นรากฐานของชีวิต เป็นรากฐานของศีลธรรม เป็นรากฐานของความก้าวหน้า เป็น รากฐานแห่งความมั่นคงในครอบครัว เมื่อครอบครัวมั่นคง ประเทศชาติก็มั่นคงเป็นธรรมดา แต่ถ้าในครอบครัวไม่มั่นคงแล้ว ประเทศชาติจะมั่นคงได้อย่างไร อะไรๆที่เป็นความมั่นคงของชาติบ้านเมืองนั้น อยู่ที่ความมั่นคงของครอบครัว ความมั่นคงของครอบครัวก็ อยู่ที่สมาชิกของครอบครัวเหล่านั้น เป็นผู้เคารพมารดาบิดา บูชา มารดา บิดา
พ่อแม่เป็น ‘พระในบ้าน’
มารดาบิดานี้ในทางธรรมะท่านถือว่า เป็นพระในครัวเรือน เป็นพระที่เราควรกราบไหว้บูชาสักการะทุกวันเวลา คนเราถ้าไม่รู้จักกราบพระที่อยู่ใกล้ๆ แล้วจะไปไหว้พระที่อยู่ไกลๆได้อย่างไร พระ ที่อยู่ที่วัดอยู่ไกลบ้าน แต่พระที่อยู่ใกล้เรา ก็คือแม่ของเรา พ่อของเรานั่นเอง เราจึงต้องเคารพพระที่อยู่ในบ้านก่อน แล้วมันจะเกื้อกูลแก่การเคารพพระนอกบ้านต่อไป... เคารพอะไรๆอื่นต่อไปอีก มารดาบิดาจึงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นเทวดาผู้ให้ความคุ้มครองรักษาแก่เราตลอดเวลา
พ่อแม่คือครูคนแรกของเรา
มารดาบิดาของเรานั้นก็เป็นเหมือนครูคนแรกของเรา คุณแม่นั่นแหละเป็นครูคนแรก พ่อก็ยังต่อมาอีก...เพราะอะไร?
เพราะเราอยู่ใกล้แม่มากกว่าพ่อ เด็กทั่วๆไปนั้นมักรักแม่ มากกว่าพ่อ น้อยคนนักที่จะรักพ่อมากกว่าแม่ อันนี้มันมีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้รักแม่มากกว่าพ่อ อาตมาเองก็เหมือนกัน ใจนี่รักแม่มากกว่าพ่อ ทำไมจึงได้เป็นเช่นนั้น?... ไม่ใช่ความลำเอียง แต่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ
เราอยู่ใกล้ชิดแม่มากกว่าพ่อ อยู่กับแม่มาตั้งสิบเดือนในท้อง แล้วออกมาเป็นตัวน้อยๆ ผู้ที่คอยประคบประหงม ป้อนข้าว ป้อนน้ำ อาบน้ำอาบท่าให้ ล้างสิ่งสกปรกให้ ก็คือคุณแม่นั่นเอง พ่อนานๆจะ ทำแทนแม่สักทีหนึ่ง แล้วเวลาทำก็เก้งๆก้างๆ ไม่ค่อยจะเรียบร้อย เพราะไม่มีหน้าที่จะต้องทำอย่างนั้น
พ่อมีหน้าที่ไปทำงานนอกบ้านนอกเรือน หาเงินหาทองมาเลี้ยงครอบครัว แต่แม่มีหน้าที่อยู่กับลูกตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแม่จึงสนิทสนมกับลูกมากกว่าพ่อ ความสัมพันธ์ทางจิตใจก็มากกว่า เว้นไว้แต่บางคนที่แม่ตายไปเสีย มีแต่พ่อก็เลี้ยงลูกมาได้ อย่างนี้ก็มีเหมือนกันในบางครอบครัว
หน้าที่ของพ่อแม่
ในสมัยอาตมาเป็นเด็ก มีอยู่สองครอบครัวที่บ้าน ครอบครัวหนึ่งมีลูก ๗-๘ คน พ่อเลี้ยงลูกจนโตทั้งนั้น จนมีเหย้ามีเรือนเป็นฝั่งเป็นฝา อีกครอบครัวหนึ่งมีลูก ๑๓ คน ไม่ใช่น้อย แม่ตายไปลูกยังเล็กอยู่ทั้งนั้น แต่ว่าพ่อนี่เลี้ยงลูกเก่ง ลูกทุกคนทำงานของผู้หญิง ได้ทั้งนั้น ทำขนมก็ได้ ทำกับข้าวก็ได้ หุงข้าวต้มแกง ซ้อมข้าวสีข้าว ตามแบบคนบ้านนอก ทำได้ทุกอย่าง ทำขนมก็ได้หลายอย่าง สอนลูกให้ทำได้ เพราะลูกไม่มีแม่ เพราะฉะนั้นลูกทุกคนจึงต้องทำหน้าที่ของแม่บ้านไปในตัว แล้วลูกทั้ง ๑๓ คน รักใคร่กันดี เคารพบูชา กันดี อยู่กันตามลำดับอาวุโสทีเดียว คนพี่เป็นใหญ่ น้องๆเคารพพี่ เอาใจใส่ดูแลช่วยเหลือกัน เดี๋ยวนี้ตายไปหลายคนแล้ว เหลืออยู่บ้าง บวชเป็นสมภารเจ้าวัดก็มี นี่พ่อเลี้ยงลูกแท้ๆ แม่ไม่ได้เลี้ยง เพราะ ตายไปเสียก่อน ลูกทุกคนจึงเคารพรักพ่อมากกว่าแม่ แต่ถ้าพ่อ กับแม่ยังอยู่ทั้งสองนั้น ใจเรามันลำเอียงไปเข้าข้างแม่ทุกที รักแม่มากกว่าพ่อ
แล้วใบหน้าของคนทั้งสอง มีอิทธิพลเหนือจิตใจผิดกัน คุณพ่อดูเหมือนเห็นเป็นภาพดุๆไป เพราะท่านเป็นคนขรึม ไม่ค่อยพูดค่อยจาอะไร เหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าเห็นหน้าแม่แล้วก็มีความ สบายใจ ให้สังเกตว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าเราไปอยู่ห่างไกลบ้านไกลเรือน เวลาป่วยถ้าคุณแม่ไปเยี่ยม พอรู้ว่าแม่มาเท่านั้น มันชื้นขึ้นมาเป็นกอง เห็นหน้าแม่ก็สบายใจ แม่มานั่งใกล้เอามือลูบตามตัวตามเนื้อตามหนัง บีบนวดให้ ก็รู้สึกว่าหายเจ็บหายไข้ หายขึ้นมาทันที กำลังใจมันเกิด ไฟฟ้าของคุณแม่ที่มาสัมผัสร่างกายของเรานั้น ทำให้เกิดกำลังภายใน ทำให้เกิดความรู้สึก นี่คือผู้มีอุปการะต่อเรา เป็นยาที่ไม่ต้องกินก็ได้ เพียงแต่สัมผัสผิวกายก็สบายแล้ว
ชื่นอกชื่นใจเมื่ออยู่ใกล้แม่
อันนี้แหละทำให้เรารู้สึกว่าคุณแม่มีความรู้สึกต่อเราอย่าง ไร เรามีความชื่นอกชื่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้แม่ มีความรู้สึกสบายทุกเวลา ถ้าเราไปอยู่บ้านไกลเมืองไกล คุณแม่มาเยี่ยมนี่เราจะมีความรู้สึก ว่ามีความสบายใจชื่นใจขนาดไหน ชื่นใจจนพูดไม่ออกทีเดียว ไม่สามารถจะพรรณนาเป็นลายลักษณ์อักษรถึงความรู้สึกในใจที่เรา มีความรู้สึกเมื่อเห็นหน้าแม่ของเราได้ อันนี้มันเป็นความจริงที่เกิด ขึ้นในใจของเราทุกคน มีประสบการณ์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น หรือว่าเรา ไปอยู่ไกล คุณแม่ไม่สามารถจะไปเยี่ยมเราได้ แต่ถ้าเรามาบ้านมาเห็นหน้าแม่ของเรา เราก็รู้สึกว่าสบายใจ
ดวงหน้าของแม่ที่ให้ความสดชื่น
ดวงหน้าของแม่เป็นดวงหน้าที่ให้แต่ความสุขสดชื่นอยู่ ตลอดเวลา แม้ว่าดุก็ไม่น่าเกลียด พูดคำหยาบก็ไม่น่าชัง อะไรๆที่ ออกมาจากแม่นั้นเราเห็นเป็นของขำนั้น ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว น่าตกใจ เพราะถึงดุก็อย่างนั้นแหละ น้ำใจแท้ๆไม่อยากทำให้ลูกเจ็บช้ำหรอก แต่บางทีเกิดโมโหโทโสขึ้นมาบ้าง ก็พูดคำที่ไม่เหมาะไม่ควรออกไป เราผู้เป็นลูกรู้ใจแม่ดีว่า แม่แกล้งด่าหรอก สมมติว่าด่าถ้อยคำที่ทำให้เกิดความเสียหาย น้ำใจแท้ๆไม่ได้มีอย่างนั้น แต่พูดออกไปอย่างนั้นเอง เพราะแม่ไม่เคยประทุษร้ายลูก ลูกเสียอีกยังมีโอกาสประทุษ ร้ายต่อแม่ได้ น้ำใจของแม่จึงหนักแน่นเหมือนกับแผ่นดิน
แผ่นดินนี่ก็เป็นแม่ของคน เป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่ให้อะไร ทุกอย่าง เราได้อะไรจากแผ่นดินทั้งนั้น คนโบราณจึงเรียกแผ่นดิน ว่า แม่ธรณี เพราะท่านให้ความเป็นอยู่แก่เราอย่างสะดวกสบาย จะ เอาอะไรก็ได้ แต่เอาด้วยวิธีการที่ถูกต้องจากแม่คือธรณีนั่นเอง
แม่น้ำก็เป็นแม่ของคนเหมือนกัน ให้อะไรแก่คนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นน้ำใจของแม่ก็เหมือนกับแม่น้ำ เหมือนกับแผ่นดิน เหมือนกับแผ่นฟ้า เหมือนกับสิ่งที่ให้แต่ความสุขความสนุกแก่เรา เราจึงรักเคารพบูชาท่าน
ความสำนึกของลูกที่มีต่อแม่
อันแม่แม้จะแก่ชราสักเท่าใด เราก็ไม่อยากให้ท่านตาย อยากให้ท่านอยู่ ให้หายใจอยู่ ให้ลืมตาอยู่ ไม่อยากให้ท่านเป็นท่อนไม้ท่อนฟืน ทำไมเราคิดอย่างนั้น เพราะเรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจแก่เรา ให้ความสุขสดชื่นแก่ชีวิตของเรา ถ้าแม่เราจากไป เรารู้สึกว่าใจหายไป มันขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่งในชีวิตของเรา แม้เราจะมีเงิน มีทอง มีข้าว มีของ มีมิตรสหาย สักเท่าใด มีอะไรๆก็ตามใจเถอะ ก็ไม่เหมือนกับเรามีแม่ แม่นี่ให้ความสุขแก่เราเหลือหลาย เราหาของอื่นหาได้ แต่เราหาแม่ไม่ได้ แม่เรามีคนเดียวในโลก อยากให้ ท่านอยู่กับเราตลอดไป
นี่คือน้ำใจที่เกิดความสำนึกในลูกทั้งหลายที่มีต่อแม่ เรา จึงอยากเห็นหน้าแม่อยู่ตลอดเวลา
การจากไปเป็นเรื่องธรรมดา
แม่กับลูกมีความสัมพันธ์กันใกล้ชิด แม้ลูกจะโตเป็นผู้ใหญ่ แล้ว แม่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นอ้ายหนูของแม่อยู่นั่นเอง เคยเห็นคนบาง คนเรียกลูก ซึ่งมีอายุหกสิบแล้วว่าอ้ายหนู ท่านเรียกของท่านอย่าง นั้น ท่านมองลูกชายที่อายุหกสิบของท่าน เหมือนกับเด็กตัวน้อยๆ ที่ท่านเคยเอามาวางไว้บนตัก ท่านลูบหน้าลูบหลังอย่างไรเมื่อเป็น เด็ก ครั้นโตขึ้นท่านรู้สึกอย่างนั้น แล้วเราเองที่มีความรู้สึกต่อพ่อแม่ ก็อย่างนั้นเหมือนกัน เรารู้สึกว่าคุณแม่ของเรานั้น มีอะไรที่ลึกลับ ซับซ้อนอยู่ตลอดเวลา เรามีความรู้สึกต่อท่านอย่างดีที่สุด ที่มีความรู้สึกอยู่ในใจ เราไม่อยากให้ท่านจากไป แต่ร่างกายสังขารของมนุษย์นี่มันเป็นธรรมดาที่ต้องเปลี่ยนแปลง ก็ต้องถึงแก่ความแตกความ ดับไป เราจะหวงไว้ก็ไม่ได้ ท่านต้องลาจากเราไป นี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุด
ความเป็นห่วงเป็นใยของแม่
อีกประการหนึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่า แม่กับเรา ลูกจะเป็น อะไรก็ตาม แม่ก็ยังคอยสอนคอยเตือนอยู่เหมือนกับว่าลูกนี่ยังเป็นเด็กน้อยๆ อาตมานี่เป็นนักเทศน์นักสอน เที่ยวสอนคนทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อสมัยที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ กลับบ้านไปทีไร ท่านพูดทุกที สอนทุกที เตือนทุกครั้ง ท่านเตือนว่าอย่าประมาท คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ไปไหนต้องระมัดระวัง อาหารการกินต้องระวัง บางทีเขาอาจจะไม่ชอบเราก็ได้ จึงต้องระมัดระวัง แม้เงินทองท่าน ก็เตือนว่า ได้เงินได้ทองมาแล้วใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่าเอาไปใช้ ไปจ่ายในทางเหลวไหล
จำได้ว่าคราวหนึ่งไปเทศน์ที่เมืองพัทลุง สมัยนั้นเงินมันแพง เขาติดกัณฑ์เทศน์ยี่สิบบาท นี่เราเรียกว่ามากเต็มทีแล้ว ปกติไปเทศน์ก็ได้บาทสองบาท ห้าบาท อย่างสูง คราวนี้เขาติดตั้งยี่สิบบาท พอเทศน์จบแล้วคุณแม่ไปพบที่กุฏิ คุณแม่บอกว่า วันนี้เทศน์ได้ตั้งยี่สิบบาท เอาไปไหน ก็บอกว่าเอาไปใช้จ่ายอะไรต่ออะไร ท่านก็ บอกว่าควรจะถวายวัดสักสิบห้าบาท เอาไปใช้สักห้าบาทก็พอแล้ว เพราะว่าทางวัดเขาใช้จ่ายต้อนรับแขกเหรื่อมากในงานนี้ ให้ทำบุญเสียสักสิบห้าบาท
อาตมาได้ฟังแล้วมันตื้นตันในใจ ตื้นตันว่าคุณแม่ท่านรักเรา ท่านหวังดีต่อเรา ยังตามมาสอนมาเตือน เวลานั้นอายุยังไม่แก่ขนาดนี้หรอก...เพียงสามสิบหรือยี่สิบเจ็ดอะไรอย่างนั้นแหละ เมื่อคุณแม่มาเตือนอย่างนั้นก็ต้องปฏิบัติตาม จึงเอาเงินไปถวายท่านสมภาร บอกว่าทำบุญกับวัดสักสิบห้าบาท ท่านบอกว่าทำไมไม่เอาไปใช้ไปเรียนหนังสือ...จะได้ซื้อหนังสือหนังหา เลยบอกให้ท่านฟังว่า แม่มาสอนเมื่อตะกี้นี้ บอกว่าให้ทำบุญสักสิบห้าบาท เอาไปใช้สักห้าบาทก็พอแล้ว ท่านสมภารท่านฟังยิ้มๆ ท่านยิ้มคงจะนึกในใจว่า เอ...แม่ท่านปัญญานี่สำคัญๆ มาสอนลูก เตือนลูก
น้ำใจแท้ๆของแม่
แม้อายุมากเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ท่านก็ยังสอนยังเตือน เวลาเข้าใกล้รู้สึกว่าจิตใจมันสบาย เห็นดวงหน้าแม่นี่สบาย ยิ่งท่านสอนท่านเตือนแล้ว เกิดความซาบซึ้งเคารพรักมากขึ้น นึกว่าคุณแม่นี่ ไม่เข้าโรงเรียน ไม่ได้อ่านหนังสือ อ่านไม่ออก สมัยนั้น ไม่มีโรงเรียนจะเรียน แต่ว่าท่านทำหน้าที่แม่สมบูรณ์ บริบูรณ์ สอนเตือน เวลา ท่านป่วย ก็ไม่หนักอะไร ธรรมดาเวลาไปเยี่ยม ครั้งสุดท้าย ท่านก็ ยังสอนว่าให้ระมัดระวังตัว อย่าประมาทอะไรต่างๆ อันนี้คือน้ำใจแท้ๆที่มีความรักความปรารถนาดีต่อเรา คนอื่นจะสอนสักกี่คนก็ ตามใจเถอะ ก็ไม่ชื่นใจ ไม่เอามาฟัง แต่คุณแม่สอนนี่มันเป็นเรื่อง ชื่นใจเหลือเกิน เป็นคำสอนที่ประทับอยู่ในจิตใจ ซึ่งควรจะต้องปฏิบัติตาม เพราะคำสอนของแม่นั้นเป็นเหมือนกับประกาศิตทีเดียวที่เราจะต้องทำตามโดยส่วนเดียว
บุตรหรือธิดาคนใดก็ตาม เมื่อได้รับคำสอนจากแม่ คำเตือน จากแม่แล้วปฏิบัติตาม นั่นแหละคือ ผู้ที่เคารพรักคุณแม่ แล้วการกระทำเช่นนั้นแหละ จะกระทำให้เราเจริญ ให้เราก้าวหน้าในชีวิตใน การงานต่อไป แม่กับเราสัมพันธ์กันมากอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องที่เรา ควร จะได้นึกถึงอย่างนั้นตลอดเวลา
ความรักของแม่
ความรักที่คุณแม่ให้ต่อเรานั้น พูดไม่ได้ว่ามีสักเท่าไร คน โบราณเขาพูดว่านับไม่ได้ ไม่รู้จะเอามาเขียนด้วยอะไร ไม่รู้จะเอา กระดาษที่ไหนมาพรรณนาความรักของแม่ที่มีต่อลูก นอกจากว่า เรารู้อยู่ในใจของเรา แต่เราก็ไม่สามารถจะเขียนออกมาเป็นคำพูดได้ เป็นอักษรได้ ว่ามีความรักอย่างไร ญาติโยมทุกคนคงมีแม่ด้วยกัน ทั้งนั้น ย่อมมีความสำนึกในใจด้วยกันทั้งนั้นว่าเป็นอะไร จึงเป็นเรื่องที่เรียกว่าซาบซึ้ง ความรักใครๆนั้นไม่ซาบซึ้งเหมือนความรักของ คุณแม่ที่มีต่อเราอยู่ตลอดเวลา เราจึงควรจะได้นึกถึงท่าน ท่านรัก เรามีจำนวนเป็นตัวเลขคาดคะเนไม่ได้ เราก็ควรจะรักตอบท่านให้มากที่สุดที่จะมากได้
การตอบแทนพระคุณของแม่
รักท่านเราควรจะทำอย่างไร? ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ในโลก เราต้องเอาใจใส่หน่อย ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว...เราเลี้ยงท่านตอบ ช่วย ทำกิจการงานให้แก่ท่าน เจ็บไข้ได้ป่วย...ช่วยรักษา ดูแลให้ท่านมีความสุขความสบายอะไรที่ท่านต้องการ...ก็รีบจัดให้โดยเร็วที่สุดที่ จะเร็วได้ ถ้าหากท่านตายไปจากโลกนี้ ก็ไม่มีอะไรจะทำ นอกเสียจากว่าจะทำบุญอุทิศไปให้ท่าน และประการสุดท้ายที่ต้องรักษาคือ ดำรงวงศ์สกุลของท่านไว้ อันนี้คือหน้าที่ของเราที่จะให้แก่คุณแม่ เป็นดอกไม้ที่เราควรจะเอาไปบูชาท่าน...ด้วยการปฏิบัติต่อท่าน
ในเรื่องการเลี้ยงในเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ นั้น เราเลี้ยงตามฐานะให้ท่านสบาย ให้สบายด้วยการกิน การอยู่ การนุ่งการห่ม อย่างนี้ เรียกว่าเลี้ยงกาย เช่น สร้างที่ให้ท่านอยู่ มีห้องน้ำห้องส้วมให้ท่าน ได้ถ่ายอาบน้ำสะดวกสบาย อาหารการกินเราก็จัดไปให้ท่าน แล้ว คอยสังเกตว่าท่านชอบอะไร ชอบจืด ชอบหวาน ชอบแกงชนิดใด แกงประเภทใด ท่านทานได้เราก็ให้ท่านทานอย่างนั้น เวลาท่าน รับประทานอาหารก็เอาใจใส่ คอยนั่งดู คอยพูดจาแนะนำให้ท่าน มีความสบายใจ ว่าเราเอาใจใส่ท่าน ไม่ใช่ตักแกงไปวางทิ้งไว้ กิน ไม่กินก็ช่างหัว อย่างนั้นมันไม่ได้เรื่องอะไร
เราควรแนะนำเอาใจใส่ แนะนำว่าควรทานอย่างนั้นควรทาน อย่างนี้ อันนี้อร่อย...คุณแม่เอาอีกหน่อย ตักข้าวเติมให้ท่าน อย่างนี้เป็นตัวอย่าง เรียกว่าปฏิบัติวัตรฐากจริงๆ เมื่อเราเป็นเด็กท่านปฏิบัติต่อเราอย่างไร พอเราโตขึ้นแล้ว...ท่านแก่ลงไป เราก็ควรปฏิบัติท่าน อย่างนั้น ให้ท่านได้รับความสะดวกสบายใจเรื่องการกิน การนุ่งห่ม อาบน้ำอาบท่า อะไรทุกๆประการ...นี่เรื่องร่างกาย
ทีนี้ เรื่องทางจิตใจ นี่เป็นเรื่องสำคัญ ต้องเลี้ยงใจท่านด้วย เลี้ยงใจคุณแม่ ก็คือประพฤติในสิ่งที่ท่านพอใจ ท่านสบายใจ เรา ต้องเรียนรู้นิสัยคุณแม่ว่าท่านไม่ชอบใจอะไร เช่น ท่านไม่ชอบใจ คนดื่มเหล้า แต่บางทีท่านอาจจะไม่ชอบ แต่ท่านแสดงอาการ ไม่ชอบใจ จะพูดก็กลัวไอ้หนูของแม่จะรำคาญ แต่เราอย่าให้ท่าน รำคาญใจ...สังเกตดู คุณแม่ไม่ชอบ ท่านบ่นท่านว่าอะไรขึ้นมา เราก็ควรจะหยุดจากการกระทำเช่นนั้น ทำอะไรควรสังเกตดูสายตา ดู กิริยาท่าทางคุณแม่ ถ้าเห็นว่าท่านไม่พอใจไม่พึงใจแล้ว เราไม่ทำ สิ่งนั้น เพราะเรารักแม่มากกว่ารักสิ่งนั้น ถ้าเราไปรักเหล้ามากกว่าแม่รักการพนันมากกว่าแม่ ทำให้แม่ไม่สบายใจ ความไม่สบายใจ ของคุณแม่ในเรื่องลูกไม่รู้จักตอบแทน...หนักใจมาก ทำให้ทุกข์มาก บางทีทุกข์ถึงกับตายไปเลยทีเดียว เป็นโรคไปเลยทีเดียวก็มี
แม่...พระในบ้าน
เพราะฉะนั้น ลูกๆต้องระวังในเรื่องนี้ ต้องนึกอยู่เสมอว่า พระสององค์ที่เราต้องบูชา ต้องเคารพ นั่งอยู่ที่บ้าน ต้องเอาใจใส่ ให้มากเป็นพิเศษ ทำอะไรให้ท่านสบายใจ เด็กหนุ่มๆสมัยนี้ชอบ ไว้ผมยาว อยากจะบอกว่าผมยาวของลูกชายนี้มันตำตาคุณแม่ คุณแม่ไม่สบายใจเลย แต่ว่าท่านไม่พูด ท่านมาพูดกับพระบ่อยๆ หลายครั้งแล้ว บอกว่า แหม ทำอย่างไรท่านเจ้าคุณ ให้อ้ายหนูมัน ตัดผมสักที แสดงว่าคุณแม่ไม่ชอบใจเรา ไปรักฝรั่งบ้าๆบอๆมากกว่า รักคุณแม่ แล้วก็ไปเอาแบบผมไม่ดีมาไว้บนหัว คุณแม่มองแล้ว ไม่สบายใจ แต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนกัน กางเกงเสื้อผ้า กิริยาท่าทาง ผู้ชายทำท่ากระตุ้งกระติ้ง ใส่กำไลมือเหมือนผู้หญิง คุณแม่ท่าน ดูแล้วเคืองนัยน์ตา แต่ว่าท่านรักลูก ท่านพูดไม่ได้ เราไม่รู้สึกว่า คุณแม่รำคาญ ท่านดูแล้วรำคาญ ท่านค้อน ท่านควักไม่รู้สักกี่หนแล้ว แต่เราทำเฉย ไม่เอาใจใส่ อย่างนี้แสดงว่าไม่รู้จักเลี้ยงน้ำใจ คุณแม่ให้ท่านสบายใจ ถ้าเรารักคุณแม่ เราจะไม่กระทำอย่างนั้น เรารู้ว่าแม่ไม่ชอบสิ่งใหม่ๆที่ไม่เข้าเรื่อง เพราะท่านเป็นคนไทย ท่านรักขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เราก็ควรจะเอาใจท่าน เราอย่าเอาเสรีภาพมาใช้จนเกินขอบเขต จนลืมผู้มีพระคุณ คือพ่อแม่ของเรา อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ
เรื่องอื่นๆก็เหมือนกัน จะคบค้าสมาคมกับเพื่อนฝูง ถ้า คุณแม่ของเราท่านท้วงติงว่า...เพื่อนของลูกๆไม่เข้าท่า นี่เพียงแต่ พูดเท่านั้นเราต้องรู้ว่าคุณแม่ไม่ชอบ เราก็ต้องเคารพท่าน อย่าเอาเหตุผลของท่านมาอ้างหักล้าง มันจะทำให้กระทบกระเทือนน้ำใจ อย่างนี้เรียกว่าเลี้ยงน้ำใจให้ท่านสบายใจ
เคยพบแม่คนหนึ่ง ลูกแกตายไปแล้ว แกสร้างที่บรรจุอัฐิให้ อย่างสวยงามทีเดียว แล้วแกไปวัด แกไปจุดธูปจุดเทียน ไปถามว่า คุณยาย กระดูกใครอยู่ในนี้ ลูกสาวฉันเอง ว่าอย่างนั้น ถามว่า คุณยาย ทำไมมาจุดธูปจุดเทียนไหว้ลูกสาว แกว่าเขาเป็นลูก แต่ เขามีคุณธรรม เมื่อเขาอยู่...ดิฉันสบายมาก เพียงแต่พูดว่าต้องการอะไร เขาจัดให้เรียบร้อย
เช่น ดิฉันพูดว่าออกพรรษานี้จะทอดกฐิน ลูกสาวเขาไปจัดให้เรียบร้อยเลย ไปซื้อผ้าซื้อเครื่องบริขารมาเสร็จเรียบร้อย พอถึงวัน ก็มาบอกคุณแม่ว่าไปทอดกันวันนั้น...จัดให้ทุกอย่าง ไม่ว่าคุณแม่จะเอ่ยปากในเรื่องอะไร ลูกสาวคนนี้จัดให้หมดทุกอย่างเลย แต่ว่าที่ได้ทำให้เกิดความรักมากขึ้นไปกว่านั้น ก็เพราะว่าลูกชายที่เหลือ อยู่นั้นไม่เอาเรื่องเลย เมื่อคุณแม่ต้องการอะไร เขาก็ไม่ทำให้ เพราะลูกชายนั้นมีปกติตระหนี่ถี่เหนียวที่สุดเลย... ถี่เหนียวไปจนถึงสตางค์ของ คุณแม่ กลัวคุณแม่จะทำบุญเสียหมด ไม่เอาอกเอาใจ แม้คุณแม่ไปวัดแกก็ต้องไปนั่งเฝ้า ถ้าคุณแม่พูดว่าจะบริจาคทำอะไรๆ...แกยกกระเช้าหมากทันที แม่....กลับได้แล้ว นั่งนานแล้ว เป็นเสียอย่างนี้
ทีนี้แกก็มองถึงลูกสาวว่า ดี...แต่ตายไปเสียแล้ว จึงได้สร้าง ที่บรรจุอัฐิไว้ให้ แล้วก็ไปบูชาคุณงามความดีของลูก เพราะว่าลูกสาวรู้จักเอาใจแม่
เอาใจใส่ดูแลท่านตลอดเวลา
อันนี้มันเรื่องสำคัญ เราต้องนึกไว้ว่าสมัยเราเป็นเด็ก เรา ขู่เข็ญท่านเท่าไหร่ จะเอาอะไรเรียกว่าขู่ทั้งนั้น ซึ่งในสมัยนี้เรา เรียกว่าขู่กัน รีดไถคุณพ่อคุณแม่กันทั้งนั้น ในสมัยนี้จะเอาอะไร ต้องเอาให้ได้ ขอเงินสิบบาทต้องได้สิบบาท ให้แปดบาทไม่ได้ ต้อง เอาสิบบาท ยืนกรานอยู่อย่างนั้น แต่ว่าเราโตแล้ว เรานึกถึงคุณแม่บ้างหรือเปล่า ว่าเราเคยกระทำอย่างนั้นต่อท่าน ให้ท่านไม่สบายใจ อย่างนั้นก็น่าคิด เพราะฉะนั้น ต้องเอาใจใส่ดูแลท่านให้สบาย ทั้งกายทั้งใจ ช่วยในกิจการทุกอย่าง ครั้นเมื่อท่านละโลกนี้ไปแล้ว เราก็ทำบุญตามประเพณีที่เขาตั้งกันไว้ แต่ว่าประเพณีนั้นแก้ได้ ให้เหมาะกับกาลกับสมัย เรื่องที่สำคัญก็คือให้ดำรงวงศ์สกุลของท่านไว้
สืบต่อคุณงามความดี
คำว่า ดำรงวงศ์สกุล หมายความว่า สืบต่อคุณงามความดี ไม่ได้ขาดสาย คุณแม่เราเป็นผู้มีศรัทธา เราก็มีศรัทธาต่อไป คุณแม่เรามีปัญญา เราก็มีปัญญาต่อไป คุณแม่เรามีการเสียสละ เราก็ เสียสละต่อไป ให้เรานั่งคิดนั่งนึกว่า คุณแม่เราดีอะไร มีคุณธรรมประการใดอยู่ในท่าน รวมเอาไว้ทั้งหมด เอามาใส่ไว้ในโกฏน้อย คือ ร่างกายของเรา วันเผา เราเก็บกระดูกใส่โกฏไว้ นั่นเป็นแต่เพียงวัตถุ ไม่เก็บก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่ควรเก็บก็คือคุณธรรม ความงามความดี ทั้งหลายของท่าน ที่เรานั่งนึกได้ว่ามีอะไรบ้าง เราเอามารวมไว้ใน โกฏ คือหัวใจของเรา แล้วก็ปฏิบัติตาม
ถ้าเราทำอย่างนี้ คุณแม่ไม่ตายไปจากเรา จากไปแต่เพียง ร่างกายเท่านั้น ส่วนคุณงามความดีทั้งหลายลูกรับไว้หมด ทั้งลูก หญิงลูกชายรับไว้หมด รับไว้แล้วก็ถ่ายทอดไปถึงหลานต่อไป ให้ หลานย่าประพฤติอย่างนั้นต่อไป ช่วยสืบต่อวงศ์สกุลไว้ สกุลไม่แตกไม่ดับ ตามธรรมเนียมจีน เวลาเอาศพไปฝังป่าช้า เวลาขากลับเขาเอารูปมาด้วย เอาธูปที่จุดมาด้วย เขาเรียกว่าเชิญวิญญาณกลับบ้าน คำว่าเชิญวิญญาณกลับบ้าน ไม่ใช่เชิญแต่รูปและธูปที่จุดบูชา หมายความว่าเชิญคุณธรรมความงามความดีทั้งหลายของคุณแม่ คุณพ่อที่ตายไปแล้วมาไว้ตัวเรา รักษาไว้สืบต่อไป สอนลูก สอนหลานให้ดำเนินชีวิตตามนั้นต่อไป ตระกูลใดที่รักษาคุณงามความดีของพ่อแม่ไว้ ตระกูลนั้นมีหลักประกันอันมั่นคง จะไม่ล่มไม่จมเป็นอันขาด เพราะมีธรรมรักษา มีประเพณีอันดีงามประจำครอบครัว ตระกูลนั้นย่อมอยู่มั่นคงถาวร อันนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญ
วันนี้ญาติโยมทั้งหลายมาประชุมกันในงานนี้ เจ้าภาพ... ลูกหญิงลูกชายของคุณโยมที่ถึงแก่กรรมไป ได้พร้อมใจกันทำบุญตามประเพณี คุณโยมเป็นผู้มีคุณธรรมของแม่สมบูรณ์เรียบร้อย อันนี้เราดูจากผลก็แล้วกัน ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ลูกดีก็เพราะแม่ดี ลูกร้ายก็เพราะพ่อแม่อาจจะไม่ดีก็ได้ เรื่องมันธรรมดา เพราะฉะนั้น เราดูว่าลูกดีก็เพราะแม่ดี เราจึงได้มาสักการะพระคุณของท่าน
อาตมาก็มาเทศน์ถึงเรื่องของแม่ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ จดจำนำไปคิดไปครอง เพื่อจะได้เอาไปเป็นหลัก เพื่อที่จะสำนึก ในหน้าที่ว่าเราทุกคนมีแม่ด้วยกันทั้งนั้น เรามีจิตสัมพันธ์เกี่ยวข้อง กับแม่ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ไปกราบเท้าคุณแม่ แล้วก็ปฏิบัติท่านให้อยู่เย็นเป็นสุขตามสมควรแก่ฐานะ อย่าละเลยหน้าที่ ให้นึกว่า แม่เลี้ยงเราเหนื่อยกว่าเราเลี้ยงแม่เป็นไหนๆ เราก็ควรเอาใจใส่ปฏิบัติหน้าที่ให้เรียบร้อยตามสมควรแก่ฐานะ ท่านก็จะได้มีชีวิตเป็นสุข สมความปรารถนา ขออำนาจกุศลที่ท่านทั้งหลายได้กระทำนี้ จง สำเร็จแก่คุณแม่ที่นอนอยู่ในหีบนี้ทุกประการ
ดังแสดงมาก็สมควรแก่เวลา อาตมาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้