สถิติ
เปิดเว็บ | 15/04/2010 |
อัพเดท | 13/11/2024 |
ผู้เข้าชม | 11,384,055 |
เปิดเพจ | 17,034,086 |
สินค้าทั้งหมด | 2,001 |
พ่อพระในบ้าน ผู้แต่ง พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
ข้อมูลสินค้า
-
รหัสสินค้า
978-974-758-696-1
-
เข้าชม
3,106 ครั้ง
ยี่ห้อ
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
รุ่น
ปกอ่อน
-
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
11/08/2011 00:00
-
รายละเอียดสินค้า
หนังสือเรื่อง พ่อพระในบ้าน
ผู้แต่ง พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
จำนวน ๑๐๕ หน้า
ขนาด ๑๔.๕ x ๒๑ ซม.
วัสดุ กระดาษปอนด์
สารบัญ หนังสือเรื่อง พ่อพระในบ้าน
- พ่อพระในบ้าน
- ธรรมะรักษาใจวัยชรา
- กตัญญูกตเวที
- ธรรมะรักษาจิตผู้สูงอายุ
ตัวอย่างเนื้อหาภายในหนังสือ เล่มนี้
ความตายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต
พวกเราทั้งหลายที่เป็นเจ้าภาพ คือ เป็นภรรยา เป็นบุตร เป็น ธิดาของผู้ที่ถึงแก่กรรมบ้าง เป็นมิตรเป็นสหายกันบ้าง เนื่องจากมี การตายขึ้นในครอบครัว
เรื่องความตายนี้เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต คนทุกคนที่เกิดมาแล้วตายด้วยกันทั้งนั้น บางคนตายเมื่อเป็นเด็ก บางคนตายเมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาว บางคนตายเมื่อเป็นผู้ใหญ่ บางคนตายด้วยความชรา บางคนตายที่บ้าน บางคนไปตายในป่าในทุ่ง บางคนก็ไปตายไกลด้วยเรื่องอะไรๆต่างๆ เรื่องที่ทำให้ตายนั้นมันมีอยู่มาก
เราเลือกไม่ได้ เลือกเวลาก็ไม่ได้ เลือกสถานที่ก็ไม่ได้ เลือกรูปให้ตายก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นอยู่ตามกฎของธรรมดา ไม่มีใครจะหนีสิ่งเหล่านี้ไปได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงต้องตายด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อถึงคราวก็ต้องจากไป
เมื่อมีความตายเกิดขึ้นในครอบครัวใด ก็ย่อมจะเกิดความเศร้าโศกความเสียใจบ้างเป็นธรรมดา เพราะว่าคนที่อยู่ด้วยกันนั้น อยู่ด้วยกันด้วยความรัก...ไม่ใช่อยู่ด้วยความเกลียด และเมื่อเรามีความรักกันก็ไม่อยากจะจากกัน ซึ่งความจริงถึงไม่อยาก...มันก็ต้องจากกันเป็นธรรมดา แต่ว่าวิสัยคนเรานั้นมักจะคิดไปในรูปอย่างนั้น คือ...ไม่อยากจะจาก แต่ว่าเมื่อถึงคราวก็ต้องจากไป
เช่น สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน...อยู่ด้วยกันด้วยความรัก บางทีภรรยาจากไปก่อน บางทีสามีจากไปก่อน เลือกไม่ได้ว่าใครจะ ไปก่อนไปทีหลัง หรือจะไปพร้อมกัน ก็ยังไม่ได้ ยังไม่เคยปรากฏว่า ตายพร้อมกัน นานๆจะมีสักครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องของอุบัติเหตุ เช่น เกิดรถชนกันตายไปหมด อย่างนี้นานๆจะมีสักทีหนึ่ง ถ้าโดยธรรมดาแล้วก็พร้อมกันไม่ได้...
ความรักและอาลัยต่อกัน
ในครอบครัว มีลูกมีหลาน พ่อแม่ก็นึกว่าลูกนี่คงจะไม่ตาย ไปก่อนเรา เพราะเราเกิดก่อนก็คงจะไปก่อน เราวางหลักเกณฑ์ไว้อย่างนั้น...ธรรมชาติไม่ได้วางอย่างนั้น แต่เราวางเอาเอง นึกเอาเอง ว่าคนมาก่อนควรจะไปก่อน...แต่ก็ไม่ได้ เพราะคนมาก่อนไปทีหลัง ก็มี คนมาทีหลังกลับไปก่อนก็มี เช่น ลูกตายก่อนพ่อแม่ก็มี หลานตายก่อนคุณตา คุณย่า คุณยาย ก็มี อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์อะไรว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ก็มีความเสียดายเสียใจกันเป็นธรรมดาของชีวิต เพราะว่าเรายังมี ความรักกัน ความอาลัยต่อกัน
ไม่มีอะไรจะเป็นไปตามที่เราต้องการ
อาลัยรักกันนั้น มันอาลัยรักกันในเรื่องอะไร? ก็รักกันใน เรื่องความดี คนเราถ้ามีความดีแล้ว ก็อยู่กัน ก็รักกัน ถ้าไม่ดีละก็ ไม่รักกัน ไม่ชอบกัน ไม่อยากจะอยู่ร่วมกัน แต่ถ้าดีทั้งสองฝ่าย ก็ อยู่ร่วมกันด้วยความสุข ความสงบ แล้วก็ไม่อยากจะจากไป อยากจะอยู่กันนานๆ ทุกคนต้องการเช่นนั้น แต่ว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ได้ตามที่เราต้องการสักอย่างเดียว
ขอให้คิดดูให้ดีๆว่า ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามที่เราต้องการ มันเป็นไปตามเรื่องของมันทั้งนั้น มันไม่ได้เป็นไปตามเรื่องของเรา เราจึงไม่ควรจะไปคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ อันเป็นเหตุจะทำให้เราเกิดปัญหา คือ ความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตเปล่าๆ
คนที่จากไปนั้น เขาถึงเวลาของเขาแล้ว
เช่นว่ามีการตายขึ้นในครอบครัว ดังที่ปรากฏแก่ครอบครัวนี้ เราก็ควรจะคิดในแง่ธรรมะ อันเป็นเรื่องของความจริงว่า คนที่จาก ไปนั้น เขาถึงเวลาของเขาแล้วที่จะต้องจากไป เพราะร่างกายมี โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน
คนเราเมื่อมีโรคเบียดเบียน ร่างกายมัน ต้านทานไม่ไหว มันสู้ไม่ไหว...ก็ต้องหมดลมหายใจ ต้องแตก ต้องดับไปเป็นธรรมดา มีลูกมีหลาน มีเงินมีทอง มีพรรคมีพวก...จะช่วยกันมาแบ่งก็ไม่ได้ มาช่วยกันสู้ก็ไม่ได้ พาหนีมันก็ไม่ได้ เพราะเรื่องความตายนั้นเราหนี ไม่ได้ เราสู้ไม่ได้ เราจะทำอะไรๆก็ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่มาแล้วกับความเกิด
การเกิดการตายเป็นสิ่งที่คู่กัน
เมื่อมีเกิดมันก็มีตายมาแล้ว มีเกิดมีตายควบคู่กันเหมือน กับลูกฝาแฝด มันมาด้วยกัน มาด้วยกันตลอดเวลา เวลานี้เราทุกคน ที่กำลังนั่งกันอยู่นี้ ก็กำลังเกิดอยู่แล้ว ก็กำลังตายอยู่เหมือนกัน เกิดตาย เกิดตายอยู่ตลอดเวลาในระยะชีวิตของเรา แต่ว่ามันตาย ไม่หมด คือว่าตายแล้วมันก็มีเกิดต่อไปอีก เพราะยังมีสิ่งสืบต่อใน ร่างกาย ยังมีปัจจัยเครื่องสืบต่อ...
คล้ายกับตะเกียงที่ยังมีไส้มีน้ำมัน มันก็ยังไม่ดับเด็ดขาด แต่ถ้าไส้หมด น้ำมันหมด หรือตะเกียงถูกเขาทุบแตก มันก็ต้องดับไป ไม่สามารถลุกเป็นเปลวให้เราดูได้ต่อไป
ชีวิตของคนเรานี้ก็เช่นเดียวกัน มันดับไม่หมด เพราะว่ามี สืบต่อ ยังมีธาตุที่เข้ามาปรุงแต่งร่างกายให้พอเป็นไปได้ แต่ถ้า ร่างกายนี้มีโรคภัยไข้เจ็บอย่างรุนแรง ไม่สามารถจะปรุงแต่งต่อไปได้แล้วก็ต้องแตกดับ เหมือนพ่อบ้านที่แตกดับไปนี้ ก็เพราะร่างกาย สู้ไม่ไหว โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน จึงต้องทิ้งภรรยา บุตร ธิดา ไว้ ข้างหลัง ให้อยู่ต่อสู้กับโลกต่อไป เรื่องคนตายแล้วน่ะ เราไม่ต้อง เป็นห่วง เพราะว่าหมดภาระแล้ว หมดเรื่องที่จะต้องยุ่งแล้ว เรามาห่วงกับคนที่อยู่กันต่อไปดีกว่า
ผู้ยังอยู่ควรดำเนินชีวิตอย่างไร
เราทั้งหลายที่จะอยู่กันต่อไปนี้ จะอยู่กันอย่างไร ควรจะทำอะไร ควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร ควรคิดกันต่อไป เรื่องตายนั้นก็ทำกันไปตามหน้าที่ เอามาสวดมาบำเพ็ญบุญกันไปตามเรื่อง ซึ่งในความจริงนั้นก็ไม่ควรจะทำนานๆเกินไปหลายๆคืน เอาน้อยๆ สั้นๆ ๓ คืนนี้เรียกว่าพองามพอดี จะเก็บก็ได้ จะเผาก็ได้
ความจริงแล้วก็ไม่น่าจะเก็บกันไว้ แต่ว่าคนชอบเก็บไว้ เก็บไว้ให้มันหนักให้เป็นภาระต่อไป ทำให้เป็นกังวลต่อไปว่าเรายังไม่ได้เผาศพ เตรียมที่จะทำศพต่อไป ที่ไม่ได้เผานี้บางทีก็มีอะไรบางอย่างที่ยังไม่พร้อม เช่นว่า...
ลูกเต้าไม่พร้อม ไปอยู่ไกลๆ ไปเรียนหนังสือ ไปทำงาน ยังมาไม่พร้อมจึงได้เก็บไว้ บางคนก็บอกว่าเงินมันไม่ค่อยพร้อม จะทำสักทีก็ต้องให้มันพอสมควร นี่ไม่น่าคิดเรื่องอย่างนั้น...
ถ้าคนไม่พร้อมนี่น่าจะเก็บเอาไว้ แต่ถ้าเงินไม่พร้อมนี่ไม่น่า ไม่จำเป็นอะไร มีเงินเสียค่าเผาก็พอแล้ว ความจริงไม่ยากลำบากอะไร เผาให้เสร็จๆ ให้หมดธุระไปตามหน้าที่ที่จะต้องทำ หรือฝังให้หมดหน้าที่ไปตามเรื่องตามราว ไม่ต้องมีอะไรมากเกินไป ให้มันสั้นๆกระทัดรัด จะได้เกิดประโยชน์มาก
กตัญญูกตเวที คือ การทำตามหน้าที่
คนที่ตายไปแล้วเขาก็หมดจากภาระหน้าที่ของเขาไป มันเหลืออยู่แต่ภาระของเราที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ที่จะต้องทำในฐานะ เป็นบุตร เป็นธิดา.
ผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า เมื่อคุณพ่อตายไป ลูกทุกคนก็ต้องทำตามหน้าที่ ตามประเพณีที่เคยกระทำกันมาแต่โบราณ แต่ประเพณีบางอย่างถ้ามันยืดยาดเกินไป เราตัดได้ เพราะประเพณีนั้นมนุษย์เป็นผู้ตั้งขึ้น เหมาะแก่คนสมัยหนึ่ง มาอีกสมัยหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงก็ได้...ไม่เสียหายอะไร แต่เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้น ให้ได้ประโยชน์คุ้มค่ากับการที่ปฏิบัติมานั้นเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วมันไม่ดีขึ้น ก็ไม่ควรจะเปลี่ยนแปลง อันนี้เป็นเรื่องแก้ไขได้ สำหรับในเรื่องอย่างนั้น
พ่อคือผู้นำของครอบครัว
ทีนี้เราทั้งหลายที่เป็นบุตรธิดาของผู้ที่ได้ถึงแก่กรรมไปนี้ เราควรจะคิดอะไร? ควรจะทำอะไร? คือเราทุกคนจะต้องคิดว่าเวลานี้คุณพ่อไม่มี ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว แต่ยังมีอยู่อีกคนหนึ่ง คือคุณแม่จะอยู่กับเรา อยู่กันกับเราอีกนานเท่าใดก็ไม่รู้ ถึงเวลาท่านก็ต้องไปเหมือนกัน ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์อะไร
แต่ว่าเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่... เราก็ควรดีใจว่าท่านยังไม่จาก เราไป แล้วเราควรจะอยู่กันอย่างไร? คือเรื่องในครอบครัว ก็มีพ่อ มีแม่ มีลูกหญิง ลูกชาย ประกอบกันขึ้นเป็นครอบครัว ตามธรรมดาครอบครัวนั้นก็มีพ่อบ้านเป็นผู้นำ เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว เป็นผู้นำในครอบครัว ทุกชาติ ทุกภาษา ถือเหมือนกันว่าพ่อบ้านนี้เป็นผู้นำในครอบครัว แม่บ้านนี่เป็นผู้ช่วยเหลือพ่อบ้าน แล้วลูก ทุกคนก็เรียกว่าเป็นผู้ตามพ่อตามแม่ อยู่กับพ่อแม่ พ่อมีหน้าที่ดูแลครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข ทำมาหากิน หาเงินหาทอง สร้างเนื้อสร้างตัวให้เป็นหลักเป็นฐาน เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เพื่อความเจริญก้าวหน้าของบุตรธิดา
แม่คือผู้ช่วยเหลือพ่อบ้านในการทำงาน
แม่ก็มีหน้าที่เหมือนกัน คือ ช่วยเหลือพ่อบ้านให้ทำงานสะดวกสบาย มีอะไรพอช่วยได้ก็เข้าไปช่วย ช่วยกันจัด ช่วยกันทำ เพื่อให้กิจการที่จะทำนั้นสำเร็จด้วยดี ไม่ขัดคอ ไม่เถียงทะเลาะกันในเรื่องอะไรๆต่างๆ อยู่กันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันเหมือนน้ำกับน้ำนมที่มันเข้ากันได้ แต่น้ำกับน้ำมันนี่เข้ากันไม่ได้ น้ำมันอยู่ข้างบน แต่น้ำอยู่ข้างล่าง...ไม่เข้ากัน แต่น้ำกับน้ำนมนั้นเมื่อผสมกันแล้ว ก็ อยู่กันได้ด้วยความเรียบร้อย ไม่แยกออกจากกัน
หน้าที่ของพ่อและแม่
พ่อแม่ หรือสามีภรรยาในครอบครัวหนึ่งๆ ก็ต้องอยู่กันในรูปเช่นนั้น ถ้าอยู่กันดังรูปที่กล่าวก็จะมีแต่ความสุข มีแต่ความสงบ แล้วก็มีลูกมา ตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงลูก
การเลี้ยงลูกของพ่อแม่นั้น ก็มีหน้าที่ว่า ห้ามไม่ให้กระทำความชั่ว แนะนำลูกให้กระทำความดี ให้ศึกษาวิชาการต่างๆ เพื่อเป็นทุนสำหรับเอาไปใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จบการศึกษาแล้วก็หางานการให้ทำ เพื่อจะได้สร้างตัวต่อไป มีงานทำเป็นหลักฐาน แล้วหาคู่ครองที่สมควรให้ คือคู่ครองที่มีความรู้ความสามารถ มีอะไรดีๆงามๆมาอยู่ด้วยกัน นี่เรียกว่าหาคู่ครองที่สมควรให้ มีเงินมีทองก็มอบให้เขาบ้าง เพื่อเอาไปตั้งเนื้อ ตั้งตัว สร้างตนให้เป็นหลักเป็นฐานต่อไป เมื่อได้เป็นเหย้าเป็นเรือน เป็นหลักเป็นฐานแล้ว พ่อแม่ก็สบายใจ นั่งดูด้วยความอิ่มใจว่าลูกฉันตั้งตัวได้
แต่ถ้าเกิดขัดข้อง มีอะไรผิดปกติก็ทนไม่ได้อีก ต้องเข้าไป ช่วยเหลือเจือจุนตามฐานะ เพราะใจของพ่อแม่นั้นมีแต่ความเมตตาปรานี มีแต่ความหวังดีต่อลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่มีพ่อแม่คนใดที่จะหวังร้ายต่อลูก ไม่มีพ่อแม่คู่ใดที่จะทำให้ลูกตกต่ำ แต่ต้องการให้ ลูกมีความเจริญก้าวหน้า
พ่อแม่ดุว่าก็ด้วยความปรารถนาดี
เราผู้เป็นบุตร เป็นธิดา บางทีถูกพ่อดุแม่ว่า บางทีก็ไปบ่น ท่านว่าท่านไม่รักเรา...รักคนนั้น รักคนนี้ อันนี้เขาเรียกว่าพูดด้วย ความไม่ประสีประสา ไม่รู้อะไร ความจริงที่พ่อแม่ดุว่าเรานั้น ดุว่าก็ ด้วยความปรารถนาดี ต้องการให้เราดีนะไม่ใช่เรื่องอะไร เมื่อเห็นว่าไม่ดี ก็ต้องดุต้องว่า บางทีก็ต้องลงไม้ลงมือกันบ้าง เพื่อให้เกิดความสำนึกรู้สึกตัว จะได้เข้าหาทางดีทางชอบต่อไป
บุตรธิดาก็ต้องนึกว่า พ่อแม่ทำกับเรานั้นด้วยความรัก ไม่ใช่ทำไปด้วยความเกลียด แต่ว่าบางทีมันก็เกิดโทโสโมโหขึ้นมาบ้าง จึงลงมือแรงๆไปหน่อย พ้นจากนั้นแล้วก็เรียบร้อยกันต่อไป ไม่มีความพยาบาทอาฆาตจองเวรเกิดขึ้นในใจ นั่นเป็นเรื่องของพ่อแม่ที่ท่านทำกับเราอย่างนั้น
การตอบแทนพระคุณของพ่อ
ครั้นเมื่อเราเติบโตขึ้นแล้ว เราก็ต้องทำการตอบแทนพ่อแม่ การตอบแทนนั้นจะทำอย่างไร?....
ท่านเลี้ยงเรามา...เราก็ต้องเลี้ยงท่านตอบ ช่วยทำกิจการงานให้ท่านเบาใจ งานอะไรที่ท่านจะทำ จะจัด จะสร้าง เราพอจะเข้าไปรับภาระช่วยจัดช่วยทำได้ เราก็ช่วยจัดช่วยทำการงานนั้นๆให้ท่านเบาใจ ให้ท่านดีใจว่าลูกเรามันรู้จักหน้าที่ ไม่เดินดูดาย ไม่เมินเฉย ช่วยเหลือในกิจการนั้นๆตามความสามารถที่จะช่วยได้ พ่อแม่ก็สบายใจ เมื่อเวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ต้องเอาใจใส่ดูแลรักษา ป้อนน้ำ ป้อนข้าว ซักผ้าที่เปรอะเปื้อน ปูที่หลับปัดที่นอนให้เรียบร้อย ปัดยุงให้ท่าน อะไรที่ควรจัดก็จัด อะไรที่ควรทำก็ทำ เพื่อให้ท่านหายเจ็บหายไข้จะได้สบายต่อไป นี่เรียกว่าเป็นหน้าที่ที่ลูกจะต้องกระทำต่อพ่อแม่ เมื่อท่านเจ็บไข้ได้ป่วยชราลงไป...เราก็ต้องเลี้ยงดูท่านให้ดี เลี้ยงกายให้สบาย คือ ให้มีที่กินที่นอนสบาย ที่ถ่ายที่อาบน้ำสบาย อย่างนี้เรียกว่าเราเลี้ยงท่าน
ครั้นเมื่อท่านตายไปแล้ว เราก็ทำบุญทำกุศลอุทิศไปให้ท่าน และดำรงวงศ์ตระกูลของท่านไว้ไม่ให้เสื่อมสูญ นี่เป็นหน้าที่ของลูกที่จะพึงกระทำต่อพ่อแม่
พระที่อยู่ในบ้าน
ทีนี้ถ้าว่าพ่อเราไม่อยู่แล้ว เวลานี้ท่านตายไปแล้ว เราก็ทำบุญอุทิศไปให้ท่าน...แม่ยังอยู่ ก็เหมือนกับว่าในครอบครัวนั้นมีพระ สององค์ พระสององค์นั้นก็คือ พระพ่อ พระแม่ พ่อแม่นี่เป็นพระ ของเรา เป็นพระที่นั่งอยู่ในบ้าน เป็นพระที่อยู่ใกล้เราตลอดเวลา เราต้องเอาใจใส่ดูแลรักษาให้ท่านสะดวกสบาย เรียกว่า ท่านเป็นพระ ท่านเป็นเทวดา เราก็ต้องเคารพ ต้องบูชา อย่าไปเที่ยวไหว้เทวดาอื่นให้มันยุ่ง ถ้าไหว้เทวดาตามศาลพระภูมิ เทวดาตามต้นไม้ เทวดาที่นั่นที่นี่ นั่นไหว้ด้วยความโง่...ไม่ได้เรื่องอะไร เทวดาที่นั่งอยู่ในบ้านตาดำๆ มีเนื้อ มีหนัง มีหู มีตา พูดกันรู้เรื่องนั้น...เราควรไหว้
ไอ้เรามันชอบไปไหว้เทวดาที่ไม่เคยเห็นหน้า ไหว้ส่งเดชไป อย่างนั้นเขาเรียกว่า เป็น...การไหว้ของคนโง่ คนเขลา ส่วนคนฉลาดนั้นเขาถือว่า พ่อแม่นั่นแหละคือเทวดาของเรา พระพุทธเจ้าท่านสอน อย่างนั้น สอนว่าพ่อแม่นี่เป็นเทวดาในครอบครัว เป็นเทวดาที่เราควรเคารพบูชา ควรสักการะ ควรเข้าไปกราบไปไหว้ เพราะเทวดานี่อยู่ในบ้าน
พระพรหมก็เหมือนกัน พวกกรุงเทพฯ โน้น ไปไหว้พระพรหมกันหน้าโรงแรมเอราวัณ ตอนเย็นนี่น่ะ...ควันโขมง พวกนี้มันหูหนวกตาบอดทั้งนั้น จึงไปไหว้พระพรหมอย่างนั้น คือมันไปด้วยความโง่... ไม่ใช่เรื่องอะไร พระพรหมนั่งอยู่ในบ้านไม่ไหว้ พ่อแม่น่ะคือพรหมของเรา ท่านเกิดเรามา ท่านเลี้ยงเรามา ให้การศึกษาแก่เรา ทำอะไรแก่เราทุกอย่าง ท่านเป็นพระพรหม
พ่อแม่คือพระพรหมของลูก
ศาสนาพราหมณ์เขาถือว่า พระพรหมสร้างโลก พระพุทธเจ้าว่าพ่อแม่นั่นแหละคือพระพรหมของเรา ปู่ตาย่ายายคือพระพรหมของเรา เป็นพรหมที่เราควรกราบไหว้ ควรบูชา ควรสักการะ อย่าไปเที่ยวไหว้พระพรหมที่ไหนซึ่งเราไม่รู้จักหน้าค่าตา แล้วไม่รู้ว่าเป็น อะไรอยู่ที่ไหน ถ้าไม่รู้ไหว้ส่งเดชไปอย่างนั้น มันก็ไม่เต็มบาท...เที่ยวไหว้อย่างนั้น
ทีนี้เรามาไหว้พ่อไหว้แม่ เรียกว่าเป็นการไหว้ถูกต้อง ปฏิบัติต่อพ่อแม่ เอาเครื่องสักการะไปบูชาพ่อแม่ เอาอาหารไปให้พ่อแม่ เอาเสื้อผ้าไปให้พ่อแม่ ประพฤติปฏิบัติให้พ่อแม่สบายใจ สบายใจว่าลูกเราดี ลูกเราเจริญ ลูกเราก้าวหน้า อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำถูกแบบตามหลักพุทธศาสนา แต่ที่ทำกันอยู่โดยมากนั้น ไม่ค่อยตรงกับหลักพระพุทธเจ้า ทำนอกลู่นอกทาง แต่ไม่มีใครเตือน ใครบอก
พ่อแม่คือผู้ที่เราควรเคารพกราบไหว้
ทีนี้เรามาวัดนี้...เรามาฉลาดกันเสียที ให้รู้ว่าของดีของถูกแท้จริงนั้นมันอยู่ที่ไหน? คือใคร?... ก็พ่อแม่เรานั่นแหละเป็นอะไร ทุกอย่างให้เรา เป็นพระของเรา เป็นเทวดาของเรา เป็นพระพรหมของเรา เป็นครูคนแรกของเรา เป็นผู้ที่เราควรเคารพกราบไหว้บูชาสักการะทุกค่ำเช้าเข้านอน
พ่อพระ แม่พระ
ทีนี้ในครอบครัวนี้เรียกว่า...พ่อพระไม่มีแล้วในเวลานี้ ตาย ไปแล้ว...พ่อพระ ยังเหลืออยู่แต่แม่พระ เมื่อยังเหลืออยู่แต่แม่พระ เราก็ต้องเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ ให้ถือว่าคุณแม่นี่เป็นพระของเรา เป็นเทวดาที่เราควรกราบไหว้ควรบูชา เป็นพระพรหมประจำบ้าน ประจำเรือน ที่เราต้องกราบไหว้ ต้องเคารพสักการะ เราก็ทำการกราบไหว้ท่าน เอาใจใส่ดูแลท่าน ประพฤติทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านสบายใจ
อะไรที่คุณแม่ไม่ชอบ...เราอย่าทำ ถ้าท่านมองด้วยสายตา ที่ไม่ชอบ เราต้องรู้ มองตาเขียวๆก็ต้องรู้แล้วว่า ไอ้นี่ไม่ชอบ เราอย่าดันอย่าขืนไป อย่าถือว่าอยากจะทำก็ทำ...แม่ไม่เกี่ยว อย่างนั้นมันไม่ได้ มันกระทบกระเทือนน้ำใจคุณแม่ ทำให้ท่านไม่สบายใจ
อย่าทำลายน้ำใจท่าน
สมมติว่า มีลูกหญิงลูกชายที่ทำให้พ่อแม่ร้อนอกร้อนใจ...นี่ บาปหนักหนา เรียกว่าเป็นการฆ่าพ่อฆ่าแม่ให้ตายช้าๆ ตายแบบ ผ่อนส่ง ให้เดือดร้อนใจ ให้รำคาญใจอยู่ตลอดเวลา การทำอย่างนั้นมันไม่ดี เราอย่าไปฆ่า...อย่าไปทำลายน้ำใจท่าน แต่ว่าควรทำให้ท่านสบายใจ
อะไรที่ท่านชอบ อะไรที่ท่านพอใจ แล้วมันดีด้วย เป็นประโยชน์ด้วย...เราก็ทำสิ่งนั้น อย่าไปขัดใจท่าน ประพฤติตนให้ เรียบร้อย
เช่น ยังอยู่ในวัยเรียน ก็ต้องขยันในการศึกษาเล่าเรียน หาวิชาความรู้ ต้องเตือนตัวเองว่า เรานี่มันไม่มีพ่อ...เรามีแต่แม่ เราต้องเรียนหนังสือให้ดี จะได้มีวิชาความรู้ จะได้เป็นที่พึ่งของตัวในกาล ต่อไปข้างหน้า ส่วนผู้ที่จบการศึกษาแล้ว ไปทำการทำงานแล้ว ก็ ต้องตั้งใจทำงานให้ดี ไปทำงานตามหน้าที่ ทำให้ดี...อย่าให้เสียชื่อในการทำงาน เลิกงานแล้วต้องรีบกลับบ้าน อย่าเที่ยวเถลไถล
อย่าไปรักเพื่อนมากกว่าแม่ อย่าไปรักสิ่งเหลวไหล เช่น ชอบ ไปดื่มของมึนเมา ไปบ่อนม้า ไปบ่อนไก่ ไปบ่อนวัว บ่อนไพ่ ไป สนุกสนานไม่เข้าเรื่อง อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่รักแม่ ไม่มาหาแม่ให้ท่านสบายใจ เราต้องรีบกลับบ้านให้ท่านอุ่นใจว่า เอ้อ!...กลับมาแล้ว แม่น่ะเป็นห่วงลูก ลูกไปไหนนี่พอถึงเวลากลับ...ถ้าไม่กลับ ก็เป็นห่วง ไม่สบายใจ นั่งดูต้นทางว่าลูกมาหรือยัง ค่ำมืดแล้วยังไม่มาก็นั่ง เป็นทุกข์แล้ว...จะมีอะไรเกิดขึ้น หมู่นี้รถชนคนบ่อย เดี๋ยวรถสิบล้อมันจะบดเอาแล้วกระมัง หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดอะไรขึ้นที่ไหน ลูก จึงยังไม่กลับมา นี่สร้างความทุกข์ทั้งนั้น สร้างความเดือดร้อนให้ แก่แม่ทั้งนั้น เราต้องรีบกลับบ้านให้ทันเวลา อย่าเถลไถลไป ใครจะชวนไปไหนก็บอกว่า ขอทีเถอะ...คุณแม่อยู่คนเดียวต้องรีบกลับ อย่างนี้เขาเรียกว่า...รักแม่
คนรักแม่อย่างนี้มันเจริญ มันปิดอบาย ปิดทางเสื่อม เพราะ เรารักแม่...เราไปกินเหล้าไม่ได้ เราไปเที่ยวกลางคืนไม่ได้ เราไปเล่น การพนันไม่ได้ เราประพฤติสิ่งเหลวไหลไม่ได้ เรารักแม่ คิดถึงแม่ อยู่ตลอดเวลา จะประพฤติสิ่งเสียหายอันใดอันหนึ่งก็คิดถึงแม่ เอาแม่เป็นหลักในใจไว้มันก็ไม่ตกอบาย ไม่เป็นคนชั่วคนร้าย อันนี้เรา จะต้องนึกถึงแม่ นึกถึงแม่ของเรา...แล้วเราก็รีบกลับบ้านมาให้แม่ เห็นหน้า แล้วก็ทำอะไรที่บ้านไปตามเรื่อง อย่างนี้เรียกว่าคนรักแม่ ช่วยเหลือแม่ให้สบายใจ ทำอะไรให้แม่สบายใจ นั่นแหละเหมือนกับสร้างวิมานไว้ให้แม่อยู่ แต่ถ้าเราทำให้แม่เดือดร้อนใจ ก็เหมือนกับ เราสร้างบ่อนรกไว้ในอกพ่อแม่ อันนี้สำคัญ...ให้จำไว้เป็นหลักปฏิบัติสำหรับลูกๆทุกคนที่ต้องอยู่กับคุณแม่ต่อไป
ความสามัคคีในครอบครัว
แล้วก็ทุกคนจะต้องรักใคร่กัน เอ็นดูกัน คนใดเป็นพี่...ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ต้องดูแลน้องๆ ต้องคอยตักคอยเตือน คอยบอกกล่าว น้องก็ต้องเชื่อฟังพี่ พี่สอนน้องต้องฟัง อย่าไปดื้อถือดีว่าจะขนาดไหนจะมาสอนข้า จะมาสอนฉัน สอนหนู อย่างนั้นมันก็ตั้งข้อไม่ดีขึ้นแล้ว ทำให้เกิดปัญหา...เราต้องรับฟัง
คนที่มาเตือนเราน่ะเขารักเราจึงเตือน ถ้าไม่รักไม่ชอบ หัวหกก้นขวิดก็ช่างหัว เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ว่าเพราะเขาไม่รัก แต่ถ้าเรารักพี่ รักน้อง ก็ต้องเตือนน้อง น้องรักพี่ก็ต้องเตือนพี่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่า ไม่เตือน พี่ก็เผลอได้เหมือนกัน...เผลอได้ ประมาทได้ น้องเห็นว่าพี่เผลอไป ประมาทไป ก็ต้องพูดกัน พูดกันดีๆ เวลาพูดนี่ พูดกันเวลากินข้าวอิ่มหนำสำราญแล้วค่อยคุยกัน เวลาหิวอย่าไปพูดกัน เวลาแดดร้อนเปรี้ยงๆอย่าไปพูดกัน กลับมาเหนื่อยๆอย่าไปว่ากัน มัน ยั่วโมโหโทโสให้เกิดอารมณ์ได้ ให้กินข้าวกินน้ำให้เยือกเย็นสงบใจ นั่งคุยกัน แล้วเราปรารภขึ้นว่า น้องทำอย่างนั้นไม่ดีนะ ทำอย่างนั้นมันจะเสียหายจะนำความเสื่อมมาสู่ครอบครัว
อยู่กันด้วยความรัก
ทีนี้ถ้าน้องเห็นพี่ไม่ดี คนเดียวไม่ดี...ต้องหลายเสียงหน่อย น้องหลายคน สมมติว่าพี่ทำไม่ดี ทำเสีย น้องหลายคนต้องประชุมเข้าพร้อมกัน ล้อมหน้าล้อมหลัง ช่วยกันเสก...เสกพี่ชาย เสกพี่สาวให้ดีให้งามขึ้น อย่างนี้เรียกว่าเราเตือนกันด้วยความรัก คนอยู่ด้วยกันมันต้องเตือนกัน ต้องบอกกัน แม่ด้วย...แม่ก็ต้องเตือน พี่ๆน้องๆ ก็ต้องเตือน
คนเราเป็นพี่เป็นน้อง ถ้ารักกัน สามัคคีกัน แล้วมันเกิดเกียรติ ทำให้คนเกรงใจ ให้คนนับถือ เขาเกรงใจว่า ไอ้ครอบครัวนี้มันรักกัน แหยมไม่ได้ มันรักกันดี เขาก็เกรงใจ หรือว่าเราจะไปหาไปทำอะไรกับใครที่ไหน ทำการทำงานกับใคร ก็ทำให้เขายอมรับ เพราะเขา ถือว่าคนนั้นมีคุณธรรม มีธรรมะที่เป็นพื้นฐานอยู่ในครอบครัว คือ รักกัน สามัคคีกันในครอบครัว นี่มันเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้คนอื่นนิยมในเรา
ถ้าว่าคนในครอบครัวเดียวกัน พี่กับน้องแตกกัน ไม่สามัคคีกัน ใครไหนจะมานิยมให้พวกเรา เขาก็พูดว่า...ไม่ได้ ครอบครัวนั้นพี่กับน้องมันยังไม่ถูกกัน มันทะเลาะกันทุกวัน แล้วมันจะหมดเกียรติ ใครจะนับถือ ใครจะบูชา ใครจะร่วมแรงร่วมใจกันกับเราได้ เราจะไปหาใครเขาก็ไม่ให้เกียรติ เพราะว่าเราพี่น้องกันยังไม่รักกัน หรือ ว่าเราไม่นับถือคุณแม่ พูดจาหยาบคายอะไรกับคุณแม่ต่างๆนานา ใครเขาเห็นเขาก็ว่า กับแม่มันยังไม่นับถือเลย ไอ้เราเป็นคนอื่นแท้ๆมันจะนับถืออะไร แล้วมันจะมีราคาที่ตรงไหน ถึงรูปร่างจะดีสัก เท่าไรมันก็ไม่มีค่า มีความรู้สักเท่าใดมันก็ไม่มีค่า เพราะว่าเราขาดคุณธรรม หรือว่าไม่เคารพผู้ใหญ่ในสกุล
การเคารพหัวหน้าครอบครัว
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ทุกครอบครัวต้องเคารพผู้ใหญ่ ในครอบครัวเรามีคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย ต้องเคารพ เรา เคารพคุณพ่อ คุณแม่อยู่ คุณพ่อไม่อยู่ คุณแม่อยู่ เราเคารพคุณแม่ แม่ตายไปอีกคน ใครเป็นใหญ่กว่าในครอบครัว พี่ต้องอุปโลกน์ขึ้น อีกคนหนึ่งว่า คนนี้เป็นหัวหน้า พวกเราจะต้องเชื่อฟัง ต้องเคารพ เรา จะต้องทำตาม
คนไหนถูกเขาให้เกียรติเป็นหัวหน้าก็ต้องนึกว่า เอ้อ!...เรานี้มันไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว เขาเลือกให้เป็นหัวหน้า ต้องประพฤติตนให้สมแก่ความเป็นหัวหน้า ต้องเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองน้องๆ ดุจดังแม่ไก่กับลูกไก่ เคยเห็นไก่มันเลี้ยงลูกหลายตัว พอเหยี่ยวบินมา มันร้องกุ๊กๆๆๆ อ้าปีกขึ้น ลูกซ่อนใต้ปีกหมด เหยี่ยวเฉี่ยวไม่ได้ แต่ว่า ลูกไก่ตัวไหนเกวิ่งออกไปนอกปีกแม่ เหยี่ยวก็เฉี่ยวเอาไปกินเท่านั้น
วาจาพ่อแม่เป็นวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์
คนเราก็เหมือนกัน คนไหนอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนในครอบครัว ความชั่วมันทำร้ายไม่ได้ แต่ถ้าเราเกิดแตกแยกกันในครอบครัว เราก็ถูกทำร้าย เขาทำลายทีละคนๆ ก็หมดกันเท่านั้นเอง มีสักสิบคนมันก็หมดไม่มีเหลือ เพราะเราไม่พร้อมกัน แต่ถ้าเราพร้อมกัน เป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน เกิดกำลัง เกิดความเข้มแข็ง เกิดความเคารพจากคนอื่น ไอ้นี่สำคัญ...ให้จำไว้เป็นหลักประจำจิตใจว่า เราทุกคนต้องเคารพแม่ บูชาแม่ ถือว่าแม่นี้เป็นผู้นำในครอบครัวของเรา คำสั่ง คำเตือนของคุณแม่เป็นวาจาสิทธิ์ วาจาคุณแม่เป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ ที่เราจะต้องเชื่อฟัง ต้องปฏิบัติ เรียกว่าละเมิดไปได้ ถ้าละเมิดแล้วอันตรายจะเกิดความเสียหาย อันนี้สำคัญขอให้จำไว้
คนสมัยใหม่นี้ บางทีก็เขวกันอยู่เหมือนกัน ไม่ค่อยจะรักพ่อ รักแม่ เอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ ทำอะไรก็ตามใจ ไม่เชื่อไม่ฟัง ไม่เคารพ บางทีก็ดูหมิ่นถิ่นแคลน หาว่าคุณพ่อคุณแม่นี่ไม่ได้เข้าโรงเรียนบ้างไม่ได้อะไรต่ออะไรบ้าง คนหัวเก่าไม่ทันสมัย ไปกันใหญ่แล้ว...ไม่ได้ เราอย่าไปมองอย่างนั้น ถ้าท่านไม่เก่งท่านเกิดเรามาไม่ได้ ถ้าท่านไม่เก่งท่านเลี้ยงเราให้เติบโตไม่ได้ นับว่าท่านเก่ง ถ้าไม่เก่งท่านจะ เลี้ยงดูเรามาได้อย่างไร เราต้องเคารพนับถือท่าน...
อย่าเอาอย่างเหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ได้ไปเมืองนอก...เรียนนอก ก็ไม่ได้สูงอะไร แค่ปริญญาโทเท่านั้นเอง กลับมาบ้าน ทีนี้พอมาถึงบ้านละก็ รู้สึกว่า กูนี่มันเหลือเกินแล้ว พองใหญ่ ไม่มีใครสู้แล้ว ทีนี้ก็เรียกแม่ แม่! เปิดหน้าต่างให้หนูหน่อย...แม่ก็เปิดหน้าต่างให้ แม่! เอาน้ำมาให้หนูดื่มหน่อย...เอาน้ำมาให้ เดี๋ยว แม่! ยุงกัดแข้งหนู มาปัดยุงให้หน่อย...ใช้แม่เรื่อย จะเอาอะไรก็แม่เรื่อยๆเลย จนแม่นี้รำคาญ
วันหนึ่งเหลือทนแล้ว แม่เลยพูดว่า “ลูก”...ตั้งแต่ไปเมืองนอกกลับมานี่ไม่เหมือนเก่า” ลูกสาวก็ถามว่า “มันไม่เหมือนตรงไหนจ๊ะแม่” “เดี๋ยวนี้หนูน่ะใช้แม่เหมือนกับคนใช้” แม่ว่าอย่างนั้น
ลูกสาว ชี้หน้าแม่ว่า “แม่นี่ไม่ได้เรื่อง ไม่กตัญญูรู้คุณคนเสียบ้างเลย” ตู่หาว่าแม่ไม่มีความกตัญญู ไม่รู้บุญคุณคน “แม่นี้ได้หน้าได้ตาก็เพราะหนูหนา...หนูไปเรียนได้ปริญญาโทมา แม่พลอยได้หน้า ได้ตา เพราะฉะนั้นแม่ต้องเอาใจใส่ปฏิบัติหนูให้ดีหน่อย”
มันใช้ได้หรือไอ้ลูกสาวคนนั้น...ใช้ไม่ได้ มันไปเอาที่ปลาย ที่ โคนไม่พูดถึง ต้นตอมันไม่พูด...ไม่พูดว่าใครให้เกิดมา ใครให้การศึกษา ใครส่งให้ไปเรียนเมืองนอก...มันไม่พูด มันพูดแต่เพียงว่า กูได้ปริญญาโท แม่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะแม่พลอยได้หน้าได้ตา คนอย่างนี้อย่าเอาไปเป็นลูกสะใภ้ เพราะถ้าเอามาเป็นลูกสะใภ้แล้ว หลานมันจะเสีย ไม่ใช่เรื่องอะไร...มันใช้ไม่ได้ มันผิดวัฒนธรรมของเอเซียด้วย คนเอเซียเรานี้เคารพพ่อแม่ บูชาพ่อแม่ เขาสอนกันมาอย่างนั้น ชาวอินเดียนี้เขาสอนกันมาตั้งแต่โบราณ ให้รักแม่ รักพ่อ และเคารพพ่อแม่
เรื่องของความกตัญญู
เราลองอ่านเรื่องชาดกต่างๆ มีมากมายหลายเรื่องที่เป็นตัวอย่างว่าลูกปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ เช่นสุวรรณสามชาดก สุวรรณสามนี่พ่อแม่ตาบอดทั้งสองข้าง เอาไปเลี้ยงในป่า ทำอาศรมศาลาให้อยู่ ให้แม่อยู่ห้องหนึ่ง ให้พ่ออยู่ห้องหนึ่ง เอาเชือกขึงไว้...นี่ไปห้องน้ำ นี่ ไปโรงครัว เชือกเส้นนี้ไปสนามเดินเล่น แล้วสุวรรณสามก็เข้าป่า ทุกวันหาผลไม้มาให้พ่อให้แม่ มาถึงก็เอามาให้คุณพ่อคุณแม่กิน ตักน้ำให้อาบ ปูที่หลับที่นอนให้ คอยดูแลรักษาอย่างดีตลอดเวลา เป็นตัวอย่างคนรักพ่อรักแม่ พระสุวรรณสามท่านทำอย่างนั้น
แม้สัตว์เดรัจฉานในเรื่องชาดก เขาก็แต่งตัวให้รักแม่ เช่น ช้างนี่พระราชาจับเอาไปยืนไว้ที่โรงช้าง ไม่กินหญ้ากินน้ำเลย เพราะความคิดถึงแม่ แม่แก่ชราตาบอด...ไปไหนไม่ได้ มายืนอยู่อย่างนี้ คุณแม่ก็ลำบาก ท่านคงจะเดือดร้อนแล้วป่านนี้ พระราชาเลยปล่อยช้างตัวนั้นให้ไปอยู่กับแม่ในถ้ำต่อไป ช้างก็กลับไปอยู่ในถ้ำกับแม่ นี่เรื่องอย่างนี้เรื่องเก่าเขาเขียนไว้ เพื่ออบรมจิตใจคนให้รักเคารพแม่ ให้เอาใจใส่ต่อพ่อแม่ ไม่ละทิ้งแม่ นี่เรื่องอินเดีย
เรื่องจีนก็เหมือนกัน มีหลายเรื่อง เช่นว่า เรื่องหนึ่งนี่แม่ป่วยแล้วก็ยุงชุม เขาก็นั่งปัดให้แม่อยู่ตลอดเวลา ปัดไปปัดมาก็นึกว่า ถ้าเราหลับไปยุงคงจะกัดแม่เรา ทำอย่างไรไม่ให้ยุงกัดแม่?...ก็เลย ถอดเสื้อออกถอดกางเกงออกคลุมแม่ แล้วก็นอนคว่ำลงข้างแม่ นอนหลับคว่ำยุงมันจะได้กินเลือดกินเนื้อของเขา ไม่ต้องมากินแม่ เพราะว่ารักแม่ นอนให้ยุงกินแทนแม่...เพราะความรักต่อแม่
อีกเรื่องหนึ่ง แม่ป่วยเหมือนกัน อยากกินแกงหน่อไม้ ฤดูนั้นมันเป็นฤดูร้อน หน่อไม้มันไม่ขึ้นดอก แต่พอรู้ว่าแม่อยากจะกินแกงหน่อไม้ เขาไม่ดุแน่ ถ้าเป็นคนบางคนก็ว่า เอ้อ! แม่นี่ อยากไม่รู้เรื่อง หน้านี้จะเอาหน่อไผ่ที่ไหนมากินได้ อยากไม่เป็นเวล่ำเวลา คน บางคนก็ด่าเอาเลย แต่คนนั้นไม่ดุ เพราะรู้ว่าแม่อยากกินแกงหน่อไม้ ไปเลย...เข้าป่าไปเที่ยวเดินตามกอไผ่ แล้วไม่เดินเปล่า ตะโกนไปด้วยว่า ไผ่เอ้ย!...แม่ฉันป่วย อยากจะกินแกงหน่อไผ่ งอกขึ้นมาสักหน่อสองหน่อเถอะ ฉันจะเอาไปให้แม่กิน เขาวิ่งทุกเช้าจนหน่อไผ่ทนไม่ได้ต้องงอกออกมา เรียกว่า ความกตัญญูกตเวที พอหน่อไผ่งอกขึ้นมาก็เลยแซะเอาไปต้มให้คุณแม่กิน คุณแม่พอได้กินแกงหน่อไม้ หายไข้เลย เป็นอย่างนั้นแหละ
การดูแลพ่อแม่
คนเรานี้ถ้าป่วย อยากได้กินอะไร ร่างกายมันต้องการแล้ว เราป่วยนี้กินอะไรไม่ได้ พออยากแล้วนี่แปลว่าร่างกายต้องการ คนเราป่วยอยากจะกินของหวาน นี่...ร่างกายต้องการน้ำตาล อยาก จะกินเปรี้ยวนี้...ร่างกายต้องการธาตุเปรี้ยว อยากจะกินยอดขี้เหล็ก หรืออะไรขมๆน่ะ อยากจะกินแกงขี้เหล็กสักถ้วย...ร่างกายต้องการ ไปเถอะเอามาต้มให้กินเลย ให้คุณแม่ทาน แล้วก็หายไข้ เด็กคนนั้น ก็เหมือนกัน พอรู้ว่าแม่อยากกินแกงหน่อไม้ เที่ยวหาจนเอาแกงให้ แม่กินได้ แม่ก็เลยหายไข้ นี่ก็เรียกว่าคนรักแม่
ความรักแม่ของลูกกตัญญู
อีกเรื่องหนึ่งหนักกว่านี้อีกคือแม่นี่กลัวฟ้าร้อง เมื่อมีชีวิตอยู่ พอฟ้าร้องเขาก็วิ่งไปอยู่ข้างแม่ ให้อุ่นใจว่าลูกอยู่ด้วย เป็นอย่างนั้น เวลาฤดูฝนนี่เขาไม่ไปห่างแม่ เขาอยู่ใกล้แม่ พอฟ้าเปรี้ยงก็วิ่งเข้าไปหาแม่ ให้แม่อุ่นใจว่าลูกอยู่ใกล้ คราวนี้ต่อมาแม่ตายไปแล้ว เอาไปฝังไว้ที่ป่าช้า หน้าฝนเขาไปตั้งกระต๊อบอยู่ที่ข้างหลุมศพแม่ พอฟ้าแลบเปรี้ยง เขาก็วิ่งไปที่หลุมศพแม่ พูดว่า แม่ๆ...หนูอยู่ที่นี่ นี่ก็เพราะความรักแม่ แม่ตายแล้วก็ยังอุตส่าห์เฝ้าในเวลาฟ้าร้องฟ้าผ่า...เขาไม่ทิ้งแม่ คนเรามีความรักสุดซึ้ง เรียกว่ารักนักหนา คนเราถ้ารักแล้วทำอะไรได้ทั้งนั้นแหละ นี่คนรักแม่ เอาใจใส่ต่อแม่
หรือว่าเราเคยอ่านหนังสือสามก๊ก ตอนที่ขงเบ้งไปเมือง กังตั๋ง จะไปเจรจาความเมือง แต่ไม่ใช่ไปเจรจาเรื่องอะไร...ชวนมารบด้วย ชวนให้ซูกวนมาร่วมรบกับเล่าปี่ด้วย ชวนกันมาตีโจโฉ ขงเบ้ง ไปนี่ก็มีขุนนางฝ่ายพลเรือน มีโลซ๊กเป็นต้น ขึ้นมาเจรจาความเมืองกัน สู้ขงเบ้งไม่ได้...๒ เพลงตกม้าตายทุกราย
ทีนี้มีคนหนึ่งลุกขึ้นมาถึง ขงเบ้งก็พูดว่า ท่านนี้หรือคือล๊กเจ็ก เมื่อเป็นเด็กเคยลักส้มไปให้มารดา เรียกว่าพูดอย่างนั้น กลัวล๊กเจ็กจะเสียหน้า แต่ล๊กเจ็กไม่หน้าเสียเลย เพราะเขาไม่ได้ลักส้มไปให้มารดา เขาทำอย่างไร? คือ...ล๊กเจ็กเป็นลูกของแม่ที่ยากจนลำบากอยู่ในบริเวณนั้น เขาไปทำงานเก็บนี่เก็บนั่นไปขาย หาฟืนไปขาย ทำ ทุกอย่างได้นิดๆหน่อยๆก็เอามาให้แม่ ซื้อข้าวสาร ซื้อขนมมาให้แม่ทุกวัน...เขาเลี้ยงแม่
วันหนึ่งเศรษฐีในบริเวณนั้นทำบุญอายุ ครบ ๖ รอบ ทีนี้ก็ ป่าวร้องเด็กทั้งหลายในบริเวณนั้นให้มากินเลี้ยง ธรรมเนียมจีนเขาเวลาจะกินเลี้ยง เขาให้กินเม็ดแตงโมมั่ง ถั่วมั่ง ขนม ส้มมั่ง วันนั้นเขาเลี้ยงส้ม ล๊กเจ็กไปถึงก็หยิบส้มมาผลหนึ่ง พอเปิดออกกินเข้าไปกลีบหนึ่ง...มันอร่อย ส้มนั้นหวานอร่อย พอกินเข้าไปกลีบหนึ่ง กิน ไม่ลงแล้วนึกถึงแม่ นึกว่า โอ้!...คุณแม่ของเราชอบส้มอย่างนี้มาก ทำ อย่างไรหนอจะได้เอาส้มนี้ไปให้แม่บ้าง เกิดปัญญาทันกับความคิด เขาหยิบส้ม ๒ ผลใส่มือเสื้อ...เสื้อโบราณ ดูหนังกำลังภายในเรื่อง หงส์หยกอะไรน่ะเสื้อใหญ่ทั้งนั้น เขาก็หยิบใส่มือเสื้อข้างละผล แล้วก็เดินทำท่าพนมมือเพราะกลัวส้มจะหล่น ไม่ใช่เรื่องอะไร เวลาเขาไปไหนก็ทำท่านั้นไป...กลัวส้มจะหล่น พอถึงเวลากินอาหาร เขาก็ประคับประคองไว้ไม่ให้ส้มร่วงไปเป็นอันขาด
พอกินอาหารเสร็จเศรษฐีเขาจะแจกของ เรียกมาเพื่อแจกของเด็ก ทีนี้เวลาไปรับของมันต้องกราบ ธรรมเนียมจีนเขากราบ หัวโขกพื้น เอามือเท้าลงไปโขกพื้นโป๊ก กราบ ๓ โป๊ก เลยส้มก็กลิ้ง ออกมา พอหลุดมือ...ส้มก็กลิ้งออกมา เศรษฐีเห็นรู้แล้วว่าออกมาทางไหนแต่เศรษฐีแกแกล้งถามว่า ส้มนั้นมาจากไหน? ล๊กเจ็กเป็นเด็กซื่อพูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ตอบว่าส้มนี้ออกมาจากมือเสื้อ ของกระผมเอง ทำไมมันจึงไปอยู่ในมือเสื้อ? เขาก็เล่าให้ฟัง บอกว่าส้มนี้รสชาติอร่อย ผมกินกลีบเดียว คิดถึงแม่ เลยก็อยากให้แม่ได้ กินมั่ง เลยเอาไปใส่มือเสื้อไว้ ๒ ผล เศรษฐีได้ฟังเช่นนั้นก็ชอบใจว่าเด็กคนนี้ใช้ได้ เด็กรักแม่รักพ่อนี้ใช้ได้ ...คนมีกตัญญูกตเวทีต่อพ่อต่อแม่นี้คบได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านว่า ‘ไม้ลอยน้ำ...ดีกว่าคนอกตัญญู’ คน ไม่รู้บุญคุณคนนี่ไม้ลอยน้ำดีกว่า ไม้ลอยน้ำนี่เราเก็บได้ เอาไปผึ่งแดดแห้งทำฟืนก็ได้ ทำพื้นก็ได้ รองเหยียบก็ได้ รองนั่งก็ได้ ทำหมอนหนุนหัวก็ยังได้ มันไม่ทุบหัวเราแน่ แต่คนอกตัญญู...เอาไปไว้ที่ไหนก็เสียหายหมด ไว้ใกล้ข้าวสาร...ข้าวสารหมดทีละถังสองถัง ทีละจอกทีละน้อยๆ ไม่ให้เห็นว่าหาย เอาไปไว้ที่เงิน...เงินหาย ไว้ในครัว... กับข้าวหาย คนอกตัญญูนี่มันไม่ได้เรื่อง...หายเรื่อย เพราะไม่สำนึกว่านายมีบุญคุณกับเรา...ใช้ไม่ได้
ทีนี้เศรษฐีพอเห็นเช่นนั้น ก็ชมเชยเด็กคนนี้ว่าเหมือนกับเพชรอยู่ในโคลนตม คนอยู่ในสลัมนี้เหมือนกับอยู่ในโคลนตม นี่มันเป็นเพชรเม็ดหนึ่งอยู่ในโคลนตม เราต้องช่วย เลยบอกว่า ส้ม ๒ ผล มันน้อยไปหนูเอ๋ย เอามันไปทั้งถาดเลย สั่งให้คนใช้เอามาให้ ล๊กเจ็กก็ถือเอาไปให้แม่กินหลายวัน
อยู่ต่อมา เศรษฐีเรียกเจ้าล๊กเจ็กมาถามว่า เธอเรียนหนังสือหรือเปล่า?...ไม่ได้เรียน บอกว่าต้องไปทำงานรับจ้างทำโน่นทำนี่ หาสตางค์มาเลี้ยงแม่ อยากเรียนไหมล่ะ?...แหม! อยากเรียนเหมือนใจจะขาด แต่ไม่รู้ว่าจะเรียนอย่างไร เออ!...ดีแล้ว ฉันจะช่วยเธอให้เรียนหนังสือ ถ้าผมไปเรียนหนังสือแล้วคุณแม่จะมีอะไรกินอะไรใช้ เขาปรารภไปถึงคุณแม่ ไม่ใช่ว่าจะได้เรียนแล้วจะดีใจ พอเรียนแล้วกลัวคุณแม่จะลำบากเขาต้องคิดถึง แล้วแม่ผมจะทำอย่างไร?...ไม่เป็นไร แม่เธอย้ายมาอยู่ในบ้านฉัน มีเรือนอยู่ข้างหลัง มาอยู่ที่นี่ กินอยู่สบาย เธอไปโรงเรียนทุกวัน...เขาก็ได้เข้าโรงเรียน
เมื่อไปโรงเรียนแล้วก็นึกเสมอว่า ที่ได้เรียนนี้เพราะเศรษฐี เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนให้ดี เรียนให้เก่ง ให้เศรษฐีชื่นใจ ให้เขาสบายใจ เงินที่เขาให้นี้จึงจะคุ้มกัน ไม่ใช่เราไปเรียนเหลวไหล ไม่ได้เรื่องอะไร เขาจะพูดได้ทีหลังว่ามันไม่ทิ้งนิสัยต่างๆที่ไม่ดี ให้เล่าให้เรียนมันก็ไปไม่รอด...ไม่อย่างนั้น
ล๊กเจ็กเป็นเด็กดี เรียนดี เรียนเก่ง จบชั้นไปสอบตำแหน่ง จอหงวนได้ในเมืองกังตั๋ง เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ฝ่ายบุ๋น...ไม่ใช่ ฝ่ายบู๊ ที่เขาได้เป็นขุนนางเพราะกตัญญูกตเวที เพราะรักแม่นั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร อันนี้เราทุกคนเหลืออยู่แต่คุณแม่นี้ รักท่านให้มาก ดูแลอย่าให้ท่านต้องลำบากเดือดร้อน คุณแม่เลี้ยงลูกกี่คนก็เลี้ยงได้ แต่เราบางทีหลายคนเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไม่ได้
วันหนึ่งหลวงพ่อนั่งรถแท็กซี่ คนขับรถแท็กซี่แก่แล้ว ถามว่า นี่โยมอายุเท่าไหร่แล้วนี่ ๖๒ โอ้! เท่ากัน ฉันเวลานั้น ๖๒ เดี๋ยวนี้มัน ๖๙ แล้ว เลยบอก ๖๒ โอ้คราวกันนี่...ทำไมขับรถอยู่จนแก่จนเฒ่าอย่างนี้ ลูกเต้าไม่มีหรือ? ผมมีลูกตั้ง ๖ คน แล้วลูก ๖ คนทำอะไร? ๕ คนเป็นข้าราชการ ไอ้คนสุดท้องมันปัญญาอ่อน ป้ำๆเป๋อๆ เลย อยู่บ้าน แล้วลูกๆที่เป็นข้าราชการเขาไม่ว่าโยมหรือว่าแก่แล้วยัง ไปขับรถแท็กซี่อยู่ทำไม? เขาก็บ่นเรื่อย...พ่อแก่แล้ว ไม่น่าขับแท็กซี่ เห็นเขาบ่นมากวันหนึ่งก็บอกว่า เอาเถอะ! พ่อจะเลิกขับแท็กซี่ แต่ว่าลูกทุกคนให้เงินพ่อเดือนละหนึ่งร้อย ๕ คน ก็ห้าร้อยบาทพ่อว่าอย่างนั้น ลูกบอกว่าเดี๋ยวเรื่องนี้ต้องปรึกษา ต้องเปิดประชุมสภาวิสามัญเลย เขาไปประชุมกันเสนอญัตติขึ้นในที่ประชุมว่าพ่อนี้ อายุมากแล้ว ไม่ควรจะให้ไปขับรถเดี๋ยวจะไปลำบาก วันนั้นพูดกับ พ่อแล้ว พ่อบอกว่าให้เราทุกคนสละเงินคนละหนึ่งร้อยบาทให้ท่าน ทุกเดือน เป็นอย่างไรญัตตินี้ ใครจะรับหลักการบ้าง แหม! โต้เถียงกันไปต่างๆนานา ผลที่สุดลงมติว่าไม่รับหลักการ เลยก็ไม่ได้ช่วย ต่างคนก็ว่าข้าวของมันแพง ลูกก็หลายคน บ้านก็ต้องเช่า
นี่ดูซิโยม...พ่อแม่เลี้ยงลูก ๖ คน ไม่บ่นเลย ส่งให้เล่าให้เรียนเป็นข้าราชการ ลูก ๖ คน จะเลี้ยงพ่อกับแม่ ๒ คน ต้องเกี่ยงกัน คนโน้นก็ว่าของแพง คนนี้ก็ว่าลูกหลายคน ไอ้บ้างก็ว่าบ้านก็ต้องเช่า ไอ้โน่นไอ้นี่ เกี่ยงกัน แม่นี่เลี้ยงลูกไม่มีเกี่ยงเลย กี่คนก็ไม่เคยเกี่ยง ...เรียบร้อย ให้เจริญเติบโตทั้งนั้น แต่ว่าพอถึงลูก ๕ คน เลี้ยงพ่อ ไม่ได้ มันเป็นอย่างนี้ แล้วผมก็ต้องขับรถต่อไป
อาตมาบอกว่า นี่แน่ะโยม คนสมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อนคนสมัยก่อนเขาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เดี๋ยวนี้เขาจะเอาจากพ่อจากแม่ แม่ไม่มีอะไรก็ยังจะเอา คนทำงานมีเงินเดือน กลับมาก็ยังต้องทึ้งดึงเอา มีอะไรจะดึงได้ก็ดึงเอาไป ดึงเอาเรื่อยไป กลัวเสียเปรียบคนอื่น จะได้น้อยไป...มันเห็นแก่ตัว คนเรานี่มันเห็นแก่ตัว คิดจะเอาตะพึดตะพือ ถ้าไม่คิดจะให้มันยุ่ง
วิญญาณพ่อ
เราอย่าเอาแบบนั้น ต้องช่วยกันดูแลคุณแม่ให้ท่านสบายอกสบายใจ ถ้าวิญญาณคุณพ่อรู้ว่า ลูกทุกคนรักคุณแม่ เอาใจใส่ต่อคุณแม่ ก็สบายใจ ตายไปแล้วสบายใจ ยังมองเห็นอยู่ก็สบายใจ แต่ถ้าเราเกิดแตกร้าว ไม่สามัคคีกัน...มันก็เสียหาย
คนที่อยู่มันต้องอย่างนี้ ช่วยกันดำรงวงศ์ตระกูลของพ่อแม่หลักสุดท้ายว่าดำรงวงศ์สกุลไว้ หมายความว่า รักษาความดีของพ่อของแม่ไว้ พ่อแม่ดีอย่างไร...ลูกก็ดีอย่างนั้น ไอ้เสียไม่เอา ส่วนเสียมันก็มีบ้างเป็นธรรมดาคนเรา แต่ส่วนเสียเราไม่เอา เหมือนกับผลไม้ ๑ ตะกร้า เขาบอกเอาไปกินเถอะ ลูกไหนเน่าก็ขว้างไป ลูกไหนดี ก็กิน...ลูกเน่ากินไม่ได้ ท้องเสีย
ตายแต่ร่างกาย แต่ความดีไม่ตาย
คนเราก็เหมือนกัน...มีดีมีเสีย ส่วนเสียเราไม่เอา...แต่เราเอาส่วนดี อะไรดีเราเก็บไว้รักษาไว้ในจิตใจเรา ท่านตายไปแต่ร่างกาย แต่ว่าความงามความดีทั้งหลายนั้นเราไม่ให้ตาย เราถ่ายทอดมาไว้ ในใจของเรา รักษาไว้ในใจของเรา ก็เหมือนกับว่าพ่อแม่ยังอยู่กับเรา ไม่ได้ตายจากเราไป เพราะพ่อที่แท้ก็คือธรรมะ คุณธรรม คนเราเป็น พ่อสมบูรณ์ก็เพราะมีคุณธรรมรักษาจิตใจ ถ้าไม่มีคุณธรรมแล้ว เป็นพ่อที่สมบูรณ์ไม่ได้ เป็นผัวสมบูรณ์ เมียสมบูรณ์ไม่ได้ แม้เป็น คนสมบูรณ์ก็ไม่ได้ ธรรมะนี่มันทำคนให้เป็นอะไร
ฉะนั้นเราเอาธรรมะของท่านมาใส่ไว้ในใจของเรา เรียกว่าเชิญวิญญาณพ่อแม่มาใส่ไว้ในใจของเรา เชิญวิญญาณ ...ไม่ใช่ป้ำๆเป๋อๆตามสำนักทั้งหลายที่เขาเชิญอยู่ในกรุงเทพฯ อย่างนั้น มันเชิญบ้าๆบอๆ ไม่ค่อยเต็มบาททั้งนั้น
วันก่อนหนังสือพิมพ์ลงข่าวไฟไหม้บ้านจ้าวคนทรง คนนั้น ทรงเก่ง...ไหม้หมดทั้งบ้านเลย ไฟไหม้บ้านทำไมจ้าวไม่มาช่วย มา ทรงทุกทีมันน่าจะบอก ไฟจะไหม้นา เตรียมเก็บข้าวเก็บของ...จ้าว ไม่ได้เรื่องเลย เอาแต่ทรง นี่มันไม่ได้เรื่อง วิญญาณนั้นเราไม่เอา เรา เอาความดีของท่าน เช่น ท่านเป็นคนขยันเอาการงาน เราเอามาไว้ ในใจ ท่านเป็นคนรักเพื่อนบ้าน เราเอามาไว้ในใจของเรา ท่านมีความปรานีต่อลูกๆ เราเอามาไว้ในใจของเรา ปรานีต่อกันและกัน ท่านเป็นคนเก็บหอมรอมริบ ไม่สุรุ่ยสุร่ายในการจับจ่ายใช้สอย เราเอา มาไว้ในใจ นี่แหละเรียกว่า วิญญาณพ่อ วิญญาณแม่ วิญญาณ ปู่ ตา ย่า ยาย
น้อมนำความดีของพ่อมาไว้ในใจ
ถ้าเรามีความดีทั้งหลายของพ่อแม่ ปู่ ตา ย่า ยาย ไว้ในใจ ของเรา...เราก็เจริญ เดินตามทางผู้ใหญ่นี้มันเจริญ...
พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกว่า เดินตามทางที่ผู้ใหญ่เดินแล้ว ผู้ใหญ่ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายถึงใคร...หมายถึงคนที่ดีนั่นเอง คนที่มีคุณธรรมในจิตใจ เขาเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ที่เดินในทางถูก ทางชอบ เราก็รับเอาคุณค่าเหล่านั้นมาใส่ไว้ในใจ เดินตามต่อไปก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ไม่มีความเสื่อม ให้จำหลักนี้ไว้
ได้พูดมาเพื่อเป็นเครื่องอนุโมทนา เตือนจิตสะกิดใจท่าน ทั้งหลายที่ได้มาประชุมกันในงานนี้ ก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงนี้ ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้เจริญ ด้วยพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า โดยทั่วกันทุกท่านทุกคน เทอญ ฯ
สินค้าที่ดูล่าสุด
- พ่อพระในบ้าน ผู้แต่ง ... ราคา 40.00 ฿
สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง
-
พจนานุกรมธรรม ฉบับปัญญานันทภิกขุ…
รหัส : 978-616-03-0294-9 ราคา : 200.00 ฿ อัพเดท : 21/03/2011 ผู้เข้าชม : 3,452ชุดฉลาดล้ำด้วยธรรมะ สไตล์ หลวงตาปัญญาดี
รหัส : pack1 ราคา : 200.00 ฿ อัพเดท : 19/04/2011 ผู้เข้าชม : 2,895 -
พ่อพระในบ้าน ผู้แต่ง พระธรรมโกศาจารย์…
รหัส : 978-974-758-696-1 ราคา : 40.00 ฿ อัพเดท : 11/08/2011 ผู้เข้าชม : 3,106แม่พระในบ้าน ผู้แต่ง หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ…
รหัส : 978-974-758-697-8 ราคา : 40.00 ฿ อัพเดท : 11/05/2011 ผู้เข้าชม : 2,595 -
หนังสือธรรมะเรื่อง100ภาพ100เรื่อง100ปีชาตกาลปัญญานันทภิกขุ
รหัส : 978-616-03-0374-8 ราคา : 300.00 ฿ อัพเดท : 02/06/2011 ผู้เข้าชม : 2,793อุดมการณ์-ชาวพุทธ (โดย..พุทธทาส-ปัญญานันทะ-พระธรรมวิมลโมลี)
รหัส : 978-6160-303-847 ราคา : 40.00 ฿ อัพเดท : 14/07/2011 ผู้เข้าชม : 2,338 -
มงคลชีวิต หลักปฎิบัติมงคล ๓๘ ประการ…
รหัส : 978-6160-303-731 ราคา : 70.00 ฿ อัพเดท : 16/08/2011 ผู้เข้าชม : 3,437หนังสือธรรมะ จิตเป็นนาย ๘๔ เคล็ดลับคลายกรรมด้วยธรรมะ…
รหัส : 978-6160-303-984 ราคา : 50.00 ฿ อัพเดท : 07/09/2011 ผู้เข้าชม : 4,213 -
หนังสือธรรมะ กายเป็นบ่าว ๘๔ วิธีก้าวพ้นกรรมด้วยธรรมะ…
รหัส : 978-6160-303-977 ราคา : 50.00 ฿ อัพเดท : 07/09/2011 ผู้เข้าชม : 2,863ความสุขที่ยั่งยืน-เบิกบานสว่างรุ่งเรืองดุจดวงประทีป
รหัส : 978-606-03-0447-9 ราคา : 25.00 ฿ อัพเดท : 21/12/2011 ผู้เข้าชม : 2,502 -
38มงคลชีวิต-ปัญญานันทภิกขุ-ราคา75บาท
รหัส : 978-616-03-0530-8 ราคา : 75.00 ฿ อัพเดท : 31/10/2012 ผู้เข้าชม : 2,512ทำดีให้มีผลทำตนให้มีดี-ปัญญานันทภิกขุ-ราคา28บาท
รหัส : 978-616-7047-08-9 ราคา : 28.00 ฿ อัพเดท : 31/10/2012 ผู้เข้าชม : 1,924 -
ทุกข์อย่างไรไม่ให้ทุกข์-ปัญญานันทภิกขุ-ราคา28บาท
รหัส : 978-616-7047-03-4 ราคา : 28.00 ฿ อัพเดท : 31/10/2012 ผู้เข้าชม : 1,911วางเป็นก็เย็นใจ-วางได้สบายจัง-ปัญญานันทภิกขุ-ราคา28บาท
รหัส : 978-974-616-7047-01-0 ราคา : 28.00 ฿ อัพเดท : 31/10/2012 ผู้เข้าชม : 2,238 -
ธรรมดีไม่มีเคราะห์-หลวงพ่อปัญญานันทะ-ราคา28บาท
รหัส : 978-616-268-068-7 ราคา : 28.00 ฿ อัพเดท : 26/01/2013 ผู้เข้าชม : 1,629ตายเป็นอยู่เป็น-ราคา50บาท
รหัส : 978-616-030-553-7 ราคา : 50.00 ฿ อัพเดท : 13/05/2013 ผู้เข้าชม : 1,687